วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตัวอย่างการทำน้ำพุ

การทำน้ำพุไม้ไผ่ สไตล์ญี่ปุ่น
1. เตรียมไม้ไผ่ 2 ท่อน ..ท่อน 1 ใช้เป็นเสาตั้ง ท่อน 2 สำหรับน้ำไหลออก
2. เจาะรูให้ได้ขนาดพอสวมท่อใสได้ (clear tubing) ตามรูป จุดนี้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง ไม้ไผ่ 2 ท่อนด้วย
3. เจาะ รูไม้ไผ่ ท่อน 1 ให้กลวง .. โดยอาจใช้เหล็กเส้นกระทุ้งตามรูป ต้องระวังอย่าให้แตกด้วยครับ
4. เสียบท่อ pvc ที่ปลายด้ายหนึ่งของไม้ไผ่ท่อน 1 ...เพื่อให้ต่อท่อใส (clear tubing) เข้ากับปั้มได้ โดยใช้ท่อขนาดประมาณ 5 หุน(5/8") หรือถ้าไม่แน่ใจลองนำไม้ไผ่ไปเทียบขนาดที่ร้านขายท่อ pvc ได้ครับ ...ดูตามรูป 4
5. เสียบท่อใส (clear tubing) เข้าไม้ไผ่ท่อน 2 ..ตามรูป 5
6. ประกอบไม้ไผ่ 2 ท่อนเข้าด้วยกัน ..ตามรูป 6
7. ประกอบปั้ม(ไดโว่) เข้าด้วยกันกับไม้ไผ่ท่อน 1 ..ตามรูป 7
8. ทำฐานตั้งที่ก้นกระถางที่ต้องการ ทดสอบการทำงาน
9. ตกแต่งด้วยหินกรวด เป็นอันเสร็จ

ตัวอย่างการทำน้ำตก

การทำน้ำตก แบบไม่เทพื้นปูน

Step 1 - Marking Contours เขียนผัง แสดงตำแหน่ง ลงบนพื้นดิน เพื่อเตรียมที่จะขุดเป็นบ่อน้ำ ตามแบบที่ออกแบบไว.้
Step 2 - The Digging ขุดดินลึกตามต้องการ โดยไล่ระดับจากสุงลงต่ำสุด ความลึกนั้นตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่ว่าจะทำแค่เป็นลำธารตื้นๆ หรือบ่อปลา.
Step 3 - Installing Equipment เดินท่อ วางระบบปั้มน้ำ และระบบระบายน้ำ.
Step 4 - The Liner นำผ้ายางหือแผ่นพลาสติก ชนิดหนาและกันน้ำอย่างดีรองพื้ีนบ่อ โดยวางให้เลยขอบบ่อและต้องมั่นใจว่าไม่มีการรั่วซึม อาจใช้วิธี test น้ำก่อนก็ได้.
Step 5 - Adding Structure วางหิน เทกรวดลงไป โดยเน้นวางทับขอบบ่อให้สนิทก่อน แล้วค่อยวางตามใจชอบ สุดท้ายโรยด้วยกรวดอย่างละเอียดทับอีกที ไม่ให้เห็นแผ่นพลาสติก........

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การออกแบบห้องนอน

แสงในห้องนอน

การ จัดแสงสว่างในห้องนอน ควรคำนึงถึง ความสมบูรณ์ ของการใช้สอยด้วย แม้ว่า บรรยากาศ โดยรวมของห้องนอน น่าจะเป็นแสงที่ นุ่มนวล อบอุ่น ชวนให้พักผ่อน โดยอาจติดตั้ง โคมไฟหลุม แบบฝังในฝ้า แต่ก็ต้องจัด โคมไฟ ที่ให้ แสงสว่างเพิ่ม ในจุดที่ต้องการด้วย เช่น ไฟอ่านหนังสือ ที่ หัวเตียง หรือที่โซฟามุมห้อง หรือที่ โต๊ะเครื่องแป้ง และมุมแต่งตัว เป็นต้น

หลอด ไฟในห้องนอน ควรให้แสงสีนวล จะสบายตากว่า หลอดฟลูออเรสเซนต์ ถ้าต้องการให้ ห้องดูสว่างไสว อย่างนุ่มนวล ก็อาจใช้วิธี ติดโคมไฟเฉพาะจุด ให้สะท้อน จากผนังออกมา ให้แสงสว่างทั้งห้อง ก็ได้

สำหรับผู้ที่ชอบ แสงไฟที่มีสีสรร ก็อาจเลือก ประดับโคมไฟ ที่ให้สีสรร และลำแสง ที่แปลกออกไป แต่ก็ควรคำนึงว่า แสงสีแดง จะให้ความรู้สึก ร้อน รุนแรง และรุกรานได้ ในขณะที่ แสงสีเขียว ก็อาจ ก่อให้เกิด ความรู้สึกอึกอัด หดหู่ เหี่ยวเฉา หรือ สร้างบรรยากาศ ที่น่าสะพรึงกลัว ได้เช่นเดียวกับ แสงสีน้ำเงิน แสงที่มีสีสรร อาจจะดูดี เมื่อส่องไปที่ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังห้องก็จริง แต่มักจะก่อปัญหา ในยามที่แสงนั้น ส่องไปโดนคน เพราะจะเปลี่ยน รูปลักษณ์ของ คนคนนั้นไปจากปกติ ในทันทีที่โดนแสง

เสียงในห้องนอน

ห้องนอน ควรเป็นห้องที่ เงียบสงัดที่สุด ในบ้าน แม้เมื่อเปิดหน้าต่าง ก็ไม่โดนรบกวน จากเสียงภายนอก มากนัก เพื่อให้ คุณนอนหลับสบาย ได้ตลอดคืน บางคน ชอบที่จะ ตื่นเช้าขึ้นมา พร้อมๆ กับ เสียง นกร้อง หรือไก่ขัน แต่บางคน ก็แทบจะ ทนเสียง เหล่านั้น ไม่ได้เลย ในกรณีที่ อยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ จอแจ ก็อาจจำเป็นต้อง ปิดกระจก และใช้ เครื่องปรับอากาศ บางคนนิยม ติดตั้ง เครื่องเสียง ไว้ในห้องนอน เพื่อเปิดฟัง ในยามพักผ่อน แต่ก็ควร คำนึงถึง ผู้ที่นอนร่วมห้องด้วย อย่าให้เป็นการ รบกวน อีกฝ่ายหนึ่ง

ควรสังเกตด้วยว่า ของใช้บางอย่าง ในห้องนอน ก่อให้เกิด เสียงรบกวน ที่น่ารำคาญ จนคุณ นอนหลับไม่เป็นสุข บ้างหรือเปล่า เช่น นาฬิกาหัวเตียง ที่เดินดังเกินปกติ หริอตีบอกเวลา ทุกชั่วโมง หรือเสี้ยวชั่วโมง เตียงนอน หรือที่นอน ที่ส่งเสียง เอี๊ยดอ๊าดทุกครั้ง ที่คุณขยับตัว เครื่องปรับอากาศ ที่ส่งเสียงกระหึ่ม ผิดปกติ หรือมีการสตาร์ท ดังเป็นระยะๆ สิ่งเหล่านี้ แก้ไขได้ และจะช่วยให้ คุณหลับเป็นสุข ยิ่งขึ้น

กลิ่นในห้องนอน

ห้องนอน ควรอยู่ห่างจาก ห้องครัว เพื่อกันไม่ให้ กลิ่นอาหาร เข้าไปรบกวน ผู้นอน และไปเกาะติด อยู่ตาม ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ขณะเดียวกัน ห้องนอน ที่มี ห้องน้ำในตัว หรืออยู่ติดกับ ห้องน้ำ ก็ควรวางแผน การระบายอากาศ ให้ดี อย่าให้มีกลิ่น ไม่พึงประสงค์ ไปรบกวน ในห้องนอนได้

บางคน ชอบให่มีกลิ่นดอกไม้หอมๆ ในห้องนอน จึงเลือกปลูกต้นไม้ ที่ให้ดอกไม้หอม ไว้ริมหน้าต่าง หรือบนระเบียง บางคนเลือกใช้ กลิ่นหอม ที่ให้ความรู้สึก ผ่อนคลายในยามพักผ่อน ก็อาจใช้ เครื่องหอม ประเภท ดอกไม้แห้งอบหอม หรือน้ำมันหอม ประดับตกแต่ง ไว้ตามมุมต่างๆ

ข้อสำคัญก็คือ อย่าให้ห้องนอน มีกลิ่นอับชื้น เป็นอันขาด เพราะจะกดดัน ให้ผู้นอน รู้สึกอึดอัด ถูกบีบคั้น และหลับไม่เป็นสุข ฝันร้ายบ่อยๆ และอาจ ก่อให้เกิด โรคภูมิแพ้ได้ สาเหตุของ กลิ่นอับชื้น อาจจะ มาจาก เครื่องนอนที่ใช้ ผ้าม่าน พรมปูพื้น ไม่สะอาดพอ นอกจากจะต้อง คอยดูแล รักษา ความสะอาดแล้ว ยังต้อง คอยเปิดหน้าต่าง ประตู ระบายอากาศ และเปิด ให้ แสงแดด ส่องเข้ามา อย่างสม่ำเสมอ การเลือกใช้ เครื่องนอน ก็ควรเลือกใช้ ที่มีคุณภาพดี และ ทำความสะอาด ได้บ่อยๆ

การใช้วัสดุตกแต่งบ้าน

 ปัจจุบันมีวัสดุตกแต่งใหม่ๆผลิตออกมาให้เลือกมากมาย ซึ่งวัสดุต่างๆก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป ดังนี้

1. Textile Wall Covering เป็นผืนผ้าที่ทอขึ้นเพื่อใช้ปิดผนัง บรรจุเป็นม้วนคล้ายวอลล์เปเปอร์ แต่จำหน่ายเป็นตารางเมตร เหมาะสำหรับใช้ปกปิดผนังที่ไม่เรียบร้อย ให้ความรู้สึกหรูหราลักษณะใกล้เคียงกับ Wall Furnishing ซึ่งเป็นการนำผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่มีความหนามาใช้ปิดผนัง นอกจากนี้ยังมีชนิดที่นำเส้นใยธรรมชาติเช่น ปอ ผักตบชวา มาสานเป็นผืน ให้ผิวสัมผ้สหยาบ แต่มีข้อด้วยคือเห็นรอยต่อระหว่างแผ่นค่อนข้างชัดและต้องระวังเรื่องปลวก เหมาะสำหรับบ้านที่ตกแต่งสไตล์โอเรียนทัล หรือทรอปิคอล

2. Glass Mosaic คือ โมเสคที่ได้จากแก้วซึ่งนำไปเผาแล้วตัดเป็นชิ้นเล็กๆ โดยมีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 0.5-2.5 นิ้ว เมื่อปูแล้วจะได้ผิวที่รียบ สามารถปูบนพื้นหรือผนังโค้งได้ดี ดูหรูหรา เหมาะกับบ้านทุกสไตล์ขึ้นอยู่กับสีสันที่เลือกใช้ มีทั้งแบบใส แบบขุ่น และแบบที่ผสมทอง เงิน หรือโลหะอื่นๆ ทำให้ดูแวววาว นอกจากจะใช้ปูเป็นสีเดียวล้วนก็สามารถปูเป็นลวดลายหรือคละสี(Random Blend) ได้อีกด้วย

3.  Bamboo Flooring คือพื้นไม้สำเร็จรูปที่ทำจากไม้ไผ่ซึ่งนำมาอัดด้วยระบบไฮดรอลิคให้เป็นแผ่น แล้วเคลือบผิวหน้าด้วยยูรีเทน โดยใช้ไม้ไผ่ที่มีการเจริญเติบโตเต็มที่ มีขนาดลำต้นใหญ่ จึงมีความแข็งแกร่ง ทนต่อรอยขีดข่วน และให้สัมผัสที่เป็นธรรมชาติ มีลวดลายของปล้องไม้ไผ่ เหมาะกับบ้านที่ตกแต่งสไตล์โอเรียนทอล มีให้เลือกทั้งสีธรรมชาติและสีน้ำตาลเข้ม สามารถใช้น้ำยาเคลือบรักษาเนื้อไม้ได้ มีขนาดความหนา 12 และ 15 มม. ราคาตารางเมตรละประมาณ 1600 บาท

4. ไม้อัด OSB (Oriented Strand Board) เกิดจากการนำเศษไม้สนมาอัดกาวให้เป็น 2 แผ่น มี 2 ชนิดคือ สำหรับใช้ปูพื้นซึ่งมีความหนา 12 มม. มี 5 สีให้เลือก คือ เทา แดง น้ำเงิน ขาว เบจ และสีธรรมชาติ ซึ่งนิยมนำมาปูพื้นร้านอาหาร สถานที่สาธารณะ หรือกรุผนัง กรุฝ้า ทำเฟอร์นิเจอร์ หรือใช้ในงานโครงสร้างเพราะสามารถกันน้ำได้ แผ่นไม้อัด OSB มีขนาดมาตรฐาน 120 x 240 เซนติเมตร มีความหนาตั้งแต่ 10-20 มม. แผ่นไม้มีพื้นผิวหยาบและลวดลายที่เด่นชัด จึงเหมาะจะใช้เมื่อต้องการให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ

5. วีเนียร์ลายซีบราโน วีเนียร์ (Veneers) คือแผ่นไม้บางๆที่ฝาน ปอก หรือเลื่อยจากไม้ซุงแล้วประกบด้านหลังด้วยวัสดุที่เพิ่มความหนาและความแข็ง แรง เช่น กระดาษ แผ่นไม้อัด หรือเมลามีน เดิมนิยมนำมาทำเป็นท็อปเคาน์เตอร์ในครัว หรือบานตู้ ปัจจุบันมักนิยมนำมาตกแต่งผิวผนัง โดยติดวีเนียร์เข้ากับแผ่นไม้อัดหนาประมาณ 4-6 มม. แล้วนำไปติดกับผนังที่ตีโครงไม้(ไม่ควรใช้กับผนังปูน) แล้วเคลือบด้วยแล็กเกอร์ หรือยูรีเทนเพื่อป้องกนรอยขีดข่วน วีเนียร์ไม้มีให้เลือกหลากสีหลายลาย ขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ โดยลายที่เห็นลวดลายไม้ชัดเจนเช่นลายซีบราโน(ดังภาพ) เป็นลายที่กำลังได้รับความนิยม ให้ความรู้สึกทันสมัย ซึ่งในปัจจุบันมีการสร้างลายเลียนแบบไม้ธรรมชาติหรือที่เรียกว่าวิธี Recompose ลงบนวีเนียร์แทนการใช้ไม้ลายธรรมชาติ เนื่องจากหาได้ยากและราคาแพง สำหรับวีเนียร์ลายซีบราโนแบบรีคอมโพส ราคาอยู่ที่ประมาณ 1800 บาทต่อตารางเมตร

6. สีอีพ็อกซี่ ( Epoxy Coating) คือสีที่ใช้สำหรับเคลือบผิวคอนกรีต มี 2 ชนิดคือ แบบอีพ็อกซี่ทั่วไป และแบบที่ปรับผิวเรียบด้วยตัวเอง(Selfleveling) นิยมใช้กับพื้นโกดังสินค้าหรือบ้านที่ต้องการตกแต่งในสไตล์ดิบๆ หรืออินดัสเตรียลลุค เนื่องจากมีความทนทานต่อสารเคมี ทนแรงขัดถูและแรงกระแทก  ทำความสะอาดง่ายแต่ไม่ทนต่อรังสียูวี จึงไม่ควรใช้ภายนอกอาคาร หรือบริเวณที่ต้องโดนแสงแดดโดยตรง สนนราคาต่อตารางเมตร ประมาณ1000 เมตร

7. หินสังเคราะห์(Solid Surface) บางครั้งเรียกว่าหินเทียม หรือเรียกตามชื่อทางการค้า เช่น โคเรียน(Corian) ไฮแมคส์(Hi-Macs) หรือโพริด็อท(Peridot) ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์(บางชนิดมีส่วนผสมของหินด้วย) ที่มีความแข็งแกร่ง ทนทานต่อการขีดข่วน ไม่ซึมน้ำเพราะพื้นผิวไม่มีรูพรุน ไม่เป็นเชื้อราและทำความสะอาดง่าย จึงเหมาะจะนำมาทำเป็นท็อปเคาน์เตอร์ในครัวหรือในห้องน้ำ สามารถขึ้นรูปได้ตามที่ต้องการ มีความกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน มีสีสันให้เลือกมากมาย ทั้งสีล้วนและลวดลายเลียนแบบธรรมชาติ รวมถึงแบบโปร่งแสง เหมาะกับบ้านที่ต้องการตกแต่งให้ดูทันสมัยหรือล้ำยุคแบบอวกาศ

8. สแตนเลสตีล(Stainless Steel) ปกติครัวสแตนเลสจะนิยมใช้งานกันในร้านอาหารหรือครัวในโรงแรมต่างๆ เพราะมีความแข็งแรง ทนต่อการใช้งานหนักได้ดี เป็นวัสดุที่ไม่ซึมน้ำ จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีความเปียกชื้นสูง ทำความสะอาดง่าย เนื่องจากผิวของวัสดุไม่สะสมคราบสกปรก ปัจจุบันครัวในบ้านก็ใช้สแตนเลสเป็นท็อปเคาน์เตอร์กันมากขึ้น เพราะทนต่อกรด ด่าง สารเคมี และความร้อนได้ดี มีให้เลือกใช้ทั้งแบบที่มีผิวมันเงาแบบผิวขัดด้าน และแบบปั๊มลาย ช่วยให้ครัวดูสวยงามและทันสมัย สำหรับสแตนเลสผิวมันวาวจะเกิดรอยขูดขีดและคราบน้ำมันได้ง่ายกว่า ดังนั้น ในการทำความสะอาดจึงไม่ควรใช้แผ่นใยขัดถูแรงๆ เพราะจะทำให้เกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย

9. หิน Limestone คือหินธรรมชาติที่นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสและประเทศในแถบยุโรป มีสีสันในโทนธรรมชาติให้เลือกถึง 9 สี และมีพื้นผิวที่หลากหลาย สามารถใช้ปูได้ทั้งพื้นและผนัง รวมถึงใช้ปูห้องน้ำ มีความหนาตั้งแต่ 2 มม. ขนาดของแผ่นหินสามารถตัดได้ตามสั่ง สำหรับแผ่นมาตรฐานมีขนาด 30 x 30 ซม. และ 40 x 40 ซม. ราคาตารางเมตรละ 4700 บาท และขนาด 60 x 60 ซม. ราคาตารางเมตรละ 5,750 บาท การติดตั้งสามารถทำได้2 วิธีคือ ติดด้วยปูนกาวบนผนังฉาบปูนสำหรับหินแผ่นเล็ก และติดตั้งด้วยระบบ Dry Process สำหรับหินแผ่นใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้ง ส่วนการทำความสะอาด ให้ใช้ผ้าหมาดเช็ด และควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรด

10. กระเบื้องแกรนิต(Granite Tile) เป็นกระเบื้องที่ได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่ง สามารถรับน้ำหนักและทนต่อแรงเสียดทานได้ดี เพราะผิวหน้าของแผ่นกระเบื้องมีส่วนผสมของหินธรรมชาติหรือหินแกรนิตนั่นเอง โดยนำมาเผาที่อุณหภูมิสูงประมาณ 1300 องศาเซลเซียส ทำให้เนื้อกระเบื้องมีความแข็งแกร่ง และมีอัตราการดูดซึมน้ำต่ำ จึงเหมาะกับการปูพื้นและผนัง โดยใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร กระเบื้องแกรนิตมีหลากหลายรูปทรงให้เลือกใช้งาน อาทิ รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูปร่างอิสระ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบพื้นสัมผัสของหินธรรมชาติ การติดตั้งจะคล้ายๆกับการปูกระเบื้องเซรามิค เพียงแต่ช่างปูกระเบื้องต้องมีความประณีต หรือใส่ใจในรายละเอียดต่างๆอาทิ การจัดวางหรือการเรียงลวดลาย การยาแนวร่องระหว่างแผ่น เป็นต้น

11. พื้นไม้ลามิเนต (Laminated Flooring) คือแผ่นไม้สำเร็จรูปที่เกิดจากการนำเศษไม้มาอัดเป็นแผ่น ปิดผิวหน้าด้วยแผ่นฟิล์มพิมพ์ลายไม้ และเคลือบผิวหน้าด้วยเมลามีนเรซินเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน และรองพื้นด้านล่างด้วยฟิล์มป้องกันความชื้นจากด้านล่าง มีขนาด ลวดลาย และสีสันของไม้ที่หลากหลายให้เลือกใช้ รวมทั้งที่เป็นไม้ปาร์เก้ต์และแบบย้อมสี โดยมากจะใช้การติดตั้งด้วยวิธีเข้าร่องลิ้น ไม่ต้องใช้กาวติด จึงติดตั้งได้สะดวกรวดเร็ว นิยมใช้ปูพื้นหรือผนังในบ้านพักอาศัย อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของไม้ควรระมัดระวังปัญหาเรื่องปลวกและแมลงด้วย

12. วอลล์เปเปอร์ลายไทย ปัจจุบันมีผู้ผลิตวอลล์เปเปอร์ที่เป็นลายไทย คือพิมพ์ลายด้วยสีทองเพื่อแทนการลงรักปิดทองที่ผนังโบสถ์ มีทั้งที่เป็นลายดอกและลายดาวเพดาน มีคุณสมบัติและวิธีการติดตั้งเหมือนกับวอลล์เปเปอร์ทั่วไป จำหน่ยเป็นม้วน  ม้วนหนึ่งปูได้4.5 ตร.ม. ราคาม้วนละ 1100 บาท นอกจากจะนิยมใช้กับการตกแต่งผนังและเพดานโบสถ์แล้ว ยังเหมาะกับการใช้ในสถานที่ที่ต้องการสร้างบรรยากาศแบบไทย รวมทั้งใช้ในบ้านด้วย

13. หินหน้ากระแทกธรรมชาติ หินเป็นวัสดุธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในงานตกแต่งพื้นผนังทั้ง ภายในและภายนอกอาคารมาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากตัววัสดุมีความแข็งแรง ทนทานต่อการสึกกร่อนรวมถึงสามารถรับน้ำหนักได้ดี หินทราย(Sand Stone) คือหินที่ประกอบด้วยเม็ดทรายที่เชื่อมติดกันโดยธรรมชาติ มีให้เลือกใช้งานหลากหลายสี ตั้งแต่สีขาวถึงเทาแก่ เขียว หรือน้ำตาลปนแดง ปัจจุบันมีให้เลือกหลายรูปแบบอาทิ หินทรายหน้าธรรมชาติ พื้นผิวเป็นคลื่นจากการสกัดผิว และหินทรายกระแทกหน้า ซึ่งได้จากการนำหินทรายผิวขัดเรียบมาตอกหน้าให้มีพื้นผิวขรุขระ ต่างไปจากหินทรายหน้าธรรมชาติในรูปแบบเดิมๆ ดังนั้นหินทรายกระแทกหน้าจึงมีราคาสูงกว่าหินทรายทั่วไปประมาณ 2 เท่า ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1300 บาทต่อตารางเมตร

14. สีเท็กซ์เจอร์ (Texture Paint) เป็นวัสดุชนิดเหลวข้น ซึ่งประกอบด้วยเม็ดหินธรรมชาติ ลาเท็กซ์ อะครีลิคเรซิน และน้ำยาเคมีต่างๆที่ช่วยป้องกันรักษาความชื้น เชื้อราและตะไคร่น้ำ ทนต่อสภาพภูมิอากาศ และมีคุณสมบัติเป็นฉนวนที่ดี ช่วยรักษาอุณหภูมิภายในให้คงที่ และลดเลียงสะท้อน มีน้ำหนักเบาประมาณ2-3กิโลกรัมต่อตร.ม. จึงช่วยลดปัญหาเรื่องอาคารทรุดตัว สามารถเจาะหรือตอกตะปูผ่านได้โดยพื้นผิวไม่แตกร้าว สีเท็กซ์เจอร์สามารถใช้ตกแต่งได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ติดตั้งโดยกรรมวิธีการพ่น ฉาบ หรือใช้ลูกกลิ้ง สามารถทำเป็นผืนแผ่นเดียวกันได้โดยไม่มีรอยต่อ โดยยึดเกาะได้กับพื้นผิวแทบทุกชนิด เช่นผนังปูน ยิปซัม ไม้อัด กระจก หรือโลหะต่างๆ และสามารถพ่นบนเฟอร์นิเจอร์ได้ด้วย สำหรับอัตราค่าบริการต่ำสุดเริ่มต้นที่ตร.ม.ละ200บาทเศษ ไปจนถึงหลักพันบาท โดยราคาที่แตกต่างกันนั้นเกิดจากการใช้หินคนละประเภท ถ้าเป็นหินคัด (เม็ดหินสวย) ราคาก็จะสูง รวมทั้งปริมาณงานที่ทำ ถ้าพื้นที่น้อยกว่า 50 ตารางเมตรก็จะคิดเป็นงานเหมา

15. ไม้สนเรดิเอต้า ไม้สนชนิดนี้เป็นไม้ที่นิยมปลูกกันในประเทศนิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในงานอุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วไป เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นหลายประการ อาทิ มีความแข็งแรงทนทาน เพราะผ่านการอบแห้งและอาบน้ำยารักษาเนื้อไม้เพื่อป้องกันการบิดงอหรือแตกตรง บริเวณปลายไม้ จึงใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร และสามารถใช้ได้ทั้งงานตกแต่งและงานโครงสร้าง เป็นได้ทั้งพื้น ผนัง รวมทั้งเฟอรนิเจอร์ มีหลายเกรดให้เลือกใช้

16. แผ่นไม้มุงหลังคา หรือแป้นเกล็ดนั่นเอง ในบ้านเราส่วนใหญ่ทำมาจากไม้สักและไม้แดง ซึ่งเป็นไม่ที่มีคุณสมบัติทนต่อความร้อนชื้นและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ได้ดี โดยเฉพาะไม้สักจะมีกลิ่นเฉพาะตัว ทำให้ไม่มีแมลงกินไม้ไม่มารบกวร มีอายุการใช้งานยาวนาน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของเนื้อไม้ด้วย เช่นถ้าเป็นไม้เกรด A คุณภาพดี ไม่มีรอยแตกร้าว จะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 50 ปีขึ้นไป โดยมีหน้ากว้างคละขนาดกันมาให้เลือกใช้ตั้งแต่ 4-8 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่แผ่นละ 12 บาท หรือประมาณตารางเมตรละ 700 บาท(ไม่รวมค่าติดตั้ง)

17. โลหะลอน(หลังคาเหล็ก) ทำจากแผ่นเหล็กอาบสังกะสีเคลือบสี ดัดเป็นลูกฟูกหรือลอนเหลี่ยม มักใช้กับหลังคาโรงงานหรืออาคารที่ต้องการคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีเทศนิควิธีการผลิตที่ก้าวหน้า เหล็กเคลือบสีบางประเภทที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมสามารถต้านทานการกัดกร่อน ในสภาวะกาศที่แตกต่างกันออกไปได้ดี ทำให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานนาน มีสีต่างๆให้เลือกมากมาย เราจึงสามารถนำมาใช้ประกอบกับการออกแบบสีสันอาคารสมัยใหม่ให้เกิดความสวยงาม ได้อีกรูปแบบหนึ่ง แต่โลหะลอนบางชนิดก็มีข้อเสีย  คือจะร้อนมากในเวลากลางวัน เพราะโลหะจะไม่เป็นฉนวนป้องกันความร้อน และอาจมีเสียงดังเมื่อมีฝนตก ดังนั้น การเลือกใช้วัสดุมุงหลังคาประเภทนี้ต้องคำนึงถึงการป้องกันความร้อนและเสียง ดังจากหลังคาเข้าสู่อาคารเป็นอย่างดี

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วัสดุก่อสร้างบ้าน #2

ปั๊มคอนกรีต คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการลำเลียงคอนกรีตชนิดหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบัน ปั๊มคอนกรีตได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการลำเลียงคอนกรีต โดยเข้ามา ทดแทนรถเข็น ,ลิฟท์, ทาวเวอร์เครน, สายพานลำเลียง และวิธีการลำเลียง อื่น ๆ ทั้งนี้ เนื่องจากปั๊มคอนกรีต สามารถตอบสนองความต้องการ ในการเทคอนกรีตในที่สูงหรือในที่ที่มีอุปสรรค ยากต่อการ เทคอนกรีต โดยวิธีอื่น รวมทั้งยังให้ความสะดวกรวดเร็ว ในการเทคอนกรีต เมื่อเทียบกับวิธีอื่นด้วย

วิวัฒนาการของปั๊มคอนกรีต

แนวความคิดเกี่ยวกับลำเลียงคอนกรีตผ่านท่อโดยอาศัยลูกสูบ ไปยังสถานที่ ที่ต้องการเทคอนกรีต เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 และแนวความคิด นี้ได้เกิดขึ้นจริงในปี พ.ศ.2476 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้มีการใช้ ปั๊มคอนกรีตในการลำเลียงคอนกรีต สำหรับการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำ มิสซิสซิปปี้ ที่เมืองมินิโซต้า

หลังจากปี พ.ศ.2476 ถึงช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี พ.ศ.2484) ได้มีการใช้ปั๊มคอนกรีตในการก่อสร้างบ้าง แต่ยังไม่เป็นที่นิยม เพราะท่อ ที่ใช้มีขนาดใหญ่ คือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-8 นิ้ว ทำให้มีน้ำหนักมาก ยากต่อการเคลื่อนย้าย,

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี พ.ศ.2488) ในยุโรป ปั๊มคอนกรีตได้ถูกนำมา ใช้อย่างกว้างขวางในการบูรณะประเทศ แต่ในสหรัฐอเมริกา ปั๊มคอนกรีตกลับไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ในการปั๊มคอนกรีต ยังไม่แน่นอน และยังคงใช้วิธีลองผิดลองถูกอยู่

ในปี พ.ศ.2500 ได้มีการนำปั๊มคอนกรีตแบบ 2 ลูกสูบ ซึ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นมาใช้งาน หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาปั๊มคอนกรีตมาเป็นลำดับ จนกระทั่งในปี พ.ศ.2508 ได้มีปั๊มคอนกรีตแบบติดตั้งบนรถมาใช้งานเป็นเครื่องแรก

ภายหลังปี พ.ศ.2513 ปั๊มคอนกรีตได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เพราะท่อขนส่งคอนกรีตได้ถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง คือมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว ทำให้สะดวกในการเคลื่อนย้าย และยังมีการพัฒนาปั๊มคอนกรีตแบบติดตั้งบนรถให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ทำงานได้สะดวก ไม่ต้องติดตั้งท่อบ่อย ๆ อีกทั้งการเคลื่อนย้ายก็ทำได้ง่ายอีกด้วย

จนกระทั่งปี พ.ศ.2525 ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศเยอรมันใช้ปั๊มคอนกรีตสำหรับลำเลียงคอนกรีต ประมาณ 50 % ของการใช้คอนกรีตในงานก่อสร้างทั้งหมด

วัสดุก่อสร้างบ้าน #1

ปูนซีเมนต์ มีที่มาจาก หินปูนบวกดินเหนียว


 ปูนซีเมนต์ ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น จากการดิ้นรนเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยจึงมีการพัฒนาอุปกรณ์และวิธีการในการสร้างความสุขความสบายให้กับตนเองและหมู่คณะขึ้น ในอดีตมีผู้คิดค้นผลิต ปูนซีเมนต์ มากมายหลายคน แต่ไม่ได้ทำการจดทะเบียนไว้เป็นหลักฐานจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1824 นายโจเซฟ แอสปดิน ชาวอังกฤษ เป็นผู้คิดค้น การผลิตปูนซีเมนต์ ขึ้นจนเป็นผลสำเร็จ และทำการจดทะเบียน การผลิตปูนซีเมนต์ อย่าง ถูกต้อง ส่วนผสมของการผลิต ปูนซีเมนต์ ในครั้งนั้น คือการนำเอาหินปูน และดินเหนียวมาเผาให้สุกได้ที่ทิ้งเอาไว้จนเย็น นำมาบดให้ละเอียด จะได้เนื้อปูน ซีเมนต์ที่มีสีเหลือง-เทา ซึ่งมีสีคล้ายกับหินในเกาะของ เมืองปอร์ตแลนด์ ประเทศอังกฤษ เมื่อสีของ ปูนซีเมนต์ ออกมาเป็นเช่นนั้น นายโจเซฟ แอสปดิน จึงตั้งชื่อของ ปูนซีเมนต์ ที่ผลิตขึ้นว่า "ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์" การผลิตปูนซีเมนต์ ในครั้งนั้นยังคงได้ ปูนซีเมนต์ ที่มีคุณภาพต่ำ อันเนื่องมาจากการใช้ส่วนผสม และความร้อนยังไม่ถูกต้อง ไม่สัมพันธ์กัน ทำให้การรวมตัวกันยังไม่ดีพอ กล่าวโดยสรุป ก็คือ ปูนซีเมนต์ เป็นผลของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจาก การบดปูนเม็ด ซึ่งเป็นผลึกอันเกิดจากการเผาส่วนผสมต่าง ๆ เช่น ปูนขาว ซิลิก้า เหล็กออกไซด์ และอลูมิน่า จนรวมตัวกันเป็น ก้อนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว เผาให้ส่วนผสมดังกล่าวสุก จากนั้นก็ทำให้เย็น ลงตามกรรมวิธีการผลิต นำไปบดให้ละเอียดตามมาตรฐาน ก็จะได้ ปูนซีเมนต์ เพื่อที่จะนำไปใช้ใน งานก่อสร้าง ศาสนสถาน อาคาร บ้าน เรือนทั่ว ๆ ไป ถนน ท่อระบายน้ำ สะพาน เขื่อน สนามบิน และงานก่อสร้างอื่น ๆ โดยมีคุณสมบัติ ที่สำคัญ อย่างหนึ่ง คือสามารถแข็งตัว ได้ทั้งในน้ำและในอากาศ

ในปัจจุบันการผลิต ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ มีการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มีการใช้วัตถุดิบ หลายอย่าง เพิ่มเติมลงไปในส่วนผสมรวมกับวัตถุดิบ เช่น ประเภทที่ให้ธาตุคัลเซี่ยม อาทิ หินปูน ดินสอพอง ดินปูนขาว ประเภทที่ให้ธาตุ ซิลิกอนและอลูมิเนียม ได้แก่ หินเชล ดินเหนียว หินชนวน นอกจากนี้แล้วยังมีวัตถุดิบอย่างอื่นอีก เช่น แร่เหล็ก ใส่เพิ่มเติมลงไปในส่วน ผสมดังกล่าว ในกรณีที่ปริมาณของเหล็กในส่วนผสมต่ำกว่ามาตรฐาน ที่กำหนดซึ่งแร่เหล็ก ดังกล่าวปกติจะมีอยู่ในหินเชล ดินเหนียว เป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คุณภาพที่ได้ตรงตามความต้องการใช้งานในแต่ละประเภท ซึ่งการเติมสินแร่เหล่านี้ต้องมีการวิจัยค้นคว้า เป็นกรณีพิเศษตามลักษณะงานและมีสูตรลับเฉพาะของแต่ละบริษัทผู้ผลิตสินค้า ชนิดนั้น ๆ สำหรับในกรณีที่ต้องการเร่งหรือหน่วงการ ก่อตัวของ ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ก็จะนำเอายิบซัมมาผสมลงในส่วนผสมของ การผลิตปูนซีเมนต์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเครื่องมือ เทคนิค กรรมวิธีต่าง ๆ ในการผลิตที่แตกต่างกันออกไปตามที่มีการพัฒนาให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น และมีมาตรฐานมากขึ้น จึงได้ ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ที่มีคุณภาพดี สามารถที่จะแข็งตัวได้ตามที่ต้องการทั้งในน้ำและในอากาศ ซึ่งใน การผลิตปูนซีเมนต์ จะมีการผลิตอยู่ 2 แบบ ด้วยกันคือ ถ้าวัตถุดิบมีน้ำผสมอยู่มากก็จะใช้การผลิตแบบผสมเปียก แต่ถ้าวัตถุดิบมีน้ำอยู่น้อยหรือไม่มีน้ำผสมอยู่เลย จะใช้การผลิต แบบผสมแห้ง ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ จะได้ คุณภาพของปูนซีเมนต์ ที่มีคุณภาพเท่าเทียมกันจากที่กล่าวมาข้างต้น คงพอมองเห็นแล้วว่า ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เป็น ปูนซีเมนต์มาตรฐาน ใช้เป็นส่วนผสมในการทำคอนกรีต เมื่อนำมาผสมกับหิน กรวด ทราย และน้ำ ด้วยอัตราส่วนที่เหมาะสม จะได้เป็นคอนกรีตสด ซึ่งก็คือคอนกรีตที่ผสมเสร็จใหม่ ๆ ยังไม่ได้เทลงแบบหล่อ เมื่อนำไปเทลงในแบบหล่อแล้วทำการกระทุ้งให้แน่น เพื่อไล่ฟองอากาศออก ทิ้งเอาไว้ให้เกิดการแข็งตัว และสามารถรับน้ำหนักได้ จะมีความทนทานแข็งแรงคล้ายหินตัวอย่างสิ่งก่อสร้าง คอนกรีตเหล่านี้ ได้แก่ ฐานรากของอาคารทุกชนิด เสาตอม่อ เขื่อนขนาดเล็กและใหญ่กำแพงกั้นดิน ถนน สะพาน ท่อระบายน้ำ ถังเก็บน้ำ เมื่อเสริมด้วยเหล็กเส้นและ เหล็กรูปพรรณ ก็จะเป็น คอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สวนสไตล์โมเดิร์น

    สวนโมเดิร์น คือ สวนที่เน้นการใช้แนวเส้นและรูปทรงเรขาคณิตมาช่วยในการออกแบบ โดยใช้วัสดุตกแต่งที่ทันสมัยเข้ามาประกอบ เช่น รูปประติมากรรมต่างๆ แต่ไม่นิยมใช้พรรณไม้ปริมาณมาก ๆ แต่เลือกใช้เฉพาะที่มีรูปทรงโดดเด่น
การจัดสวนสไตล์นี้  หรือ การจัดสวนสไตล์อืนๆก็เหมือนกันคือให้ใช้ สไตล์รูปแบบบ้านเป็นหลัก และให้ถือว่า สวนคือห้องๆหนึ่งของบ้าน ที่สามารถมองผ่านหน้าต่างหรือประตูออกไปแล้วมองเห็นความงามในสวน เพราะฉะนั้น เวลาคุณแต่งบ้านโดยรวมแล้วบ้านคุณจัดอยู่ในสไตล์ไหน สวนก็ต้องเป็นไปโดยสอดคล้องหรือสัมพันธ์กัน ไม่ให้เกิดลักษณะแตกต่างหรือขัดขืน   เพราะเวลา คุณแต่งบ้านถ้าบ้านไม่ได้กว้างใหญ่แบบเดินจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งเป็นกิโล แล้วล่ะก็การตกแต่งภายในก็ต้องมีรูปแบบตามที่มัณฑนากรคิดตามคอนเซ็ปบ้าน คอนเซ็ปคุณให้เป็นunityคือความเป็นเอกภาพ เมื่อสวนคือห้องๆหนึ่งของบ้าน หลักการนั้นก็ถูกนำมาใช้เช่นเดียวกัน
    การเชื่อมโยงบ้านเข้ากับสวน
เมื่อบ้านถูกออกแบบมาให้หรูดูดีมีสไตล์แต่เรียบง่าย วัสดุที่นำมาสร้างบ้านจะถูกเลือกและจัดสรรมาอย่างดีจากสถาปนิก  สวน ก็ต้องตามนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางเดิน ลานอเนกประสงค์ ศาลา หรือน้ำพุ น้ำตก วัสดุ ตกแต่งก็ควรเป็นวัสดุเดียวกับหรือเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับที่ใช้สร้างบ้าน ยกตัวอย่าง การก่อสร้างน้ำตกสมัยใหม่ วัสดุอาจประกอบ ด้วย กระจก โลหะ หรือไม้  หรือกรุตัวน้ำตก หรือบ่อด้วยกระเบื้องดินเผาเคลือบเซรามิค ซึ่งมีลักษณะสวยงามเฉพาะตัว  การ ทำกรอบแปลงปลูกต้นไม้ หรือใช้ไม้พุ่มเตี้ย ปลูกเรียงกันอย่างมีระเบียบ จัดวางแปลนสวนแบบมีแบบแผน ปลูกต้นไม้ที่ สามารถตัดแต่ง เป็นรูปทรงต่างๆเช่นสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม  หรือรูปทรงเรขาคณิตอื่นๆ แล้วไล่ระดับความสูงต่ำตามการเจริญเติบโตของพรรณไม้ที่กำหนดไว้ตามลำดับ
ส่วน สวนที่คุณต้องการให้เกิดความรู้สึกแตกต่างคืออยู่ในบ้านเป็นโลกหนึ่งของคุณ พอเข้ามาในสวนกลายเป็นอีกโลกหนึ่งนั้นควรหามุมที่ห่างหรือไกลออกไป แล้วใช้ต้นไม้ ฉากหรือองค์ประกอบสวนอื่นๆแบ่งส่วนสวนหรือเชื่อมโยงสวนให้สอดคล้องกัน
วิธีจัดสวนโมเดิร์น
- จัดรูปแบบกระบะปลูกพรรณไม้ที่มีลักษณะแปลกตา เสริมด้วยน้ำพุที่สวน
เพื่อสร้างบรรยากาศให้สดชื่น มีความเคลื่อนไหว และสวยงาม
- ใช้รูปแบบของเส้นซิกแซ็กสร้างการเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่นิยมปลูกพรรณไม้ตระกำลเฟิน
และเพิ่มความพริ้วไหวของสวนด้วยน้ำพุหินแกรนิตทรงกลม
- การจัดพรรณไม้ให้มีเส้นขอบชัดเจน และเพิ่มที่นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สวนสไตล์บาหลี

    สวนสไตล์บาหลีแบบดั้งเดิมนั้นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แสดงถึงความเชื่อและวัฒนธรรมในท้องถิ่นของชาวบาหลี ได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายที่เคารพเทพเจ้าและเชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายมีจิตวิญญาณอยู่ในตัวเอง ชาวบาหลีเชื่อว่าพื้นที่สวนเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงนิยมประติมากรรมรูปสลักเป็นรูปปั้นเทพเจ้า ยักษ์ นางอัปสร และเหล่าสัตว์หิมพานต์ เพื่อให้คุ้มครองปกป้องสิ่งชั่วร้าย
    พรรณไม้ส่วนใหญ่ที่ปลูกได้แก่พรรณไม้เมืองร้อนร่มครึ้ม ต้นไม้หลักที่ขาดไม่ได้คือ ลีลาวดี (ลั่นทม) ดอกไม้ที่ชาวบาหลีนิยมใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า ต้นไทรถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวบาหลี นอกจากนั้น ได้แก่ พรรณไม้ในเขตร้อนชื้น เช่น กล้วยไม้ ปาล์ม พลับพลึง เฮลิโคเนีย กล้วยประดับ ขิงแดง ขิงชมพู ชบา และไม้น้ำต่างๆ เช่น บัว กก คล้าน้ำ ฯลฯ
    องค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ขาด ไม่ได้สำหรับสวนบาหลี คือ บ่อน้ำในสวน ซึ่งนิยมทำเป็นบ่อน้ำรูปทรงสี่เหลี่ยมค่อนข้างตื้น สร้างจากหินสกัดเป็นแท่ง และมีการแสดงอาณาเขตของสวน โดยใช้กำแพงก่ออิฐเตี้ยๆ นอกจากนั้น ชาวบาหลียังนิยมให้สวนอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องหอม เช่น กลิ่นธูปหอมกำยานหรือกลิ่นน้ำมันหอมระเหยด้วยเสน่ห์ที่ลึกล้ำเช่นนี้เอง สวนสไตล์บาหลีจึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในวันนี้
    คุณสามารถประยุกต์รูปแบบของสวนอารมณ์บาหลีให้เหมาะกับบ้านพักอาศัย ได้ไม่ยาก เช่น ลดทอนความร่มครึ้มแบบสวนป่าลงไป โดยเน้นกลุ่มไม้ใบใหญ่เพียงบางจุด เพื่อไม่ให้ดูรกทึบและชื้นจนเกินไป จะได้ไม่กลายเป็นแหล่งวางไข่ของยุง นอกจากนั้น ควรจัดกลุ่มไม้ใบที่ต้องการวิธีดูแลแบบเดียวกันไว้ด้วยกันเพื่อให้ง่ายต่อการดูแล เช่น กลุ่มไม้ใบที่ชอบแดด และกลุ่มไม้ใบที่ชอบร่ม
    บริเวณสวนน้ำ อาจก่อเป็นกำแพงน้ำตก บ่อน้ำพุ ประดับสิงห์หรือปลาพ่นน้ำและปลูกพรรณไม้น้ำ เช่น บัว กกพันธุ์ต่างๆ ส่วนประติมากรรมอาจใช้ตุ๊กตารูปสลักหินทรายแบบไทยๆ แทนเทวรูป ประดับโคมไฟที่ออกแบบให้มีกลิ่นอายแบบบาหลี เพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืนแก่สวนสวยของคุณ
    สำหรับสวนสวยอารมณ์บาหลีที่นำมาให้ชมเป็นตัวอย่างเช่น LH News ฉบับนี้เป็นสวนสวยที่ตกแต่งไว้ให้สมบูรณ์พร้อมในบ้านสไตล์รีสอร์ต สร้างเสร็จก่อนขายที่โครงการแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ พาร์ค โคราช ฝีมือการจัดสวนโดยอาจารย์สาโรช โสภณางกูร ที่คนรักสวนต่างรู้จักกันดีนั่นเอง

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การเลือกสีให้กับบ้าน

     สีของบ้านก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้บ้านน่าอยู่ มีเสน่ห์ บ่งบอกถึงรสนิยมของเจ้าบองบ้าน
สีแต่ละสีก็มีความหมายในตัวของมันเอง ดังนี้
สีชมพู : ความสงบ เสริมความสุภาพ อ่อนโยน ความรัก เสน่หา
สีเหลือง : ชื่นบาน ยินดี เสริมสร้างพลังงาน
สีขาว : ความบริสุทธิ์ เสริมชีวิตชีวาให้กับสีอื่นๆ
สีดำ : วินัย อำนาจ พลัง เสริมสร้างความเป็นอิสระ
สีส้ม : ยินดี เด็ดขาด กระตุ้นการเจริญอาหาร การสนทนาพูดคุย
สีแดง : อำนาจ กระตุ้น แข่งขัน แสดงออกถึงความดูดดื่ม หลงใหล
สีเขียว : สมดุล สดชื่น เสริมสร้างความรู้สึกทางอารมณ์
สีน้ำเงิน : สงบ สดชื่น เย็น สร้างความรู้สึกสงบ พักผ่อน

การ เลือกสีทาบ้านนั้นเค้ามีเครื่องมือง่ายๆ ที่เรียกว่า "วงล้อ" เจ้าวงล้อนี้ถือว่าเป็นเครื่องมือยอดนิยมของมัณฑนากรเลยเชียว มาดูการใช้งานของมันกันดีกว่า โดยทั่วไปแล้วเราจะแบ่งสีออกเป็น 4 ประเภท นั่นก็คือ สีหลัก สีรอง สีผสม และสีเอกรงค์ ซึ่งการนำไปใช้งานนั้นก็จะแตกต่างกันไป ดังต่อไปนี้

1. สีหลัก สำหรับห้องที่ต้องการแสดงออกถึงความรู้สึกแข็งแรง มั่นคง การนำสีหลักมาใช้คือทางเลือกที่ดีที่สุด สีหลักในที่นี้ประกอบไปด้วย สีแดง สีน้ำเงิน และสีเหลือง ซึ่งก็คือแม่สีที่เรารู้จักกันดีนั่นเองครับ สีเหล่านี้ถือเป็นสีบริสุทธิ์ ที่ไม่ได้เกิดมาจากการผสมสีอื่นๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้งานผสมผสานกันเป็นคู่ๆ หรือจะใช้ทั้ง 3 สีเลยก็ได้

2. สีรอง ได้แก่ สีเขียว สีส้ม และสีม่วง ซึ่งเกิดจากการผสมสีหลัก 2 สีในปริมาณที่เท่าๆ กันเข้าด้วยกัน สีรองนี้ สามารถปรับเปลี่ยนเฉดให้อ่อนลงหรือเข้มขึ้นได้ โดยการผสมสีขาวหรือดำเข้าไป เช่น ห้องที่มีสีส้มอ่อนๆ ตัดกับสีเขียวจางๆ ก็ดูเก๋ดีนะ

3. สีผสม เกิดจากการผสมสีหลักและสีรองที่ใกล้กันที่สุดบนวงล้อเข้าด้วยกัน ในปริมาณที่เท่ากัน ซึ่งได้แก่ สีน้ำเงิน-เขียว สีเหลือง-เขียว สีแดง-ส้ม สีแดง-ม่วง และสีน้ำเงิน-ม่วง โดยส่วนใหญ่เราจะนำสีเหล่านี้ไปใช้กับห้องที่ต้องการความรู้สึกโก้เก๋

4. สีเอกรงค์ คือ การนำสีเพียงสีเดียวมาใช้คู่กับสีขาว การปรับเปลี่ยนความอ่อน-เข้มของเฉดสีจะช่วยให้ห้องไม่ดูนิ่มนวลจนเกินไป เช่น การผสมผสานระหว่างสีฟ้าอ่อน สีน้ำเงิน สีเนวีบลู จะเกิดความหลากหลายมากขึ้น

ตัวอย่างบ้านสวยๆ 2


 

ตัวอย่างบ้านสวยๆ 1


 

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การออกแบบจัดสวน #2

การกำหนดรูปแบบ (style) ในการจัดสวนในส่วนของบริเวณที่เลือกแล้วนั้นขึ้นอยู่กับรสนิยม และความชอบของเจ้าของบ้าน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
1.แบบรูปทรงเรขาคณิต (Formal) คือการจัดโดยอาศัยรูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ มีการแสดงออกของเส้นตรง ซึ่งเป็นเส้นนำสายตาให้มุ่งตรงไปยังจุดเด่นที่ต้องการ (Strong Axial Design) และเส้นนี้จะแสดงความรู้สึกว่า บริเวณด้านซ้าย และขวามีความเท่า ๆ กัน (Balance) คือด้านซ้ายและด้านขวาเหมือนกันทุกประการ การจัดสวนแบบนี้เหมาะกับบ้านทรงยุโรป ประเภทกรีก โรมัน และบริเวณมุมเล็ก ๆ ในพื้นที่จำกัด หรือในบริเวณส่วนด้านหน้าของหน่วยงานราชการ และบริษัทต่าง ๆ การจัดสวนประเภทนี้จะดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่การดูแลรักษาค่อนข้างสูง เพราะต้องตัดแต่งต้นไม้ให้เป็นรูปทรงเรขาคณิตอยู่เรื่อย ๆ

2.แบบธรรมชาติ (Informal) คือการจัดใช้เส้นอิสระ (Free Form) มักเป็นโค้งรูปตัว "S" ดูเป็นธรรมชาติ อ่อนช้อยไม่เป็นเหลี่ยมมุม ต้นไม้ใช้รูปทรงตามธรรมชาติ ไม่ตัดแต่งเป็นรูปทรงเรขาคณิต การจัดสวนแบบธรรมชาตินี้เหมาะกับบ้านทั่ว ๆ ไป ทั้งที่มีเนื้อที่กว้างและเนื้อที่แคบ หรือสวนสาธารณะ และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ
     การจัดสวนนั้นมิใช่ว่าเอาต้นไม้มาปลูก เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นแถวเป็นแนว ให้เกิดความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องคำนึงถึงวัสดุอุปกรณ์ ในการตกแต่งสวนด้วย ว่าจะเอาวัสดุอุปกรณ์ประเภทไหนอย่างไร มาตกแต่งสวนของเรา ให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น และจะทำอย่างไรให้คงความงามไว้ได้นาน โดยเริ่มจาก การจัดเตรียมพื้นที่การเลือกไม้ดอกไม้ใบ การใช้วัสดุปูพื้น การกั้นรั้ว การเลือกเฟอร์นิเจอร์ และการดูแลรักษา ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการจัดแต่งสวน

การออกแบบจัดสวน #1

ปกติแล้วธรรมชาติกับมนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอ แต่คนในเมืองหลวงได้ละทิ้งสิ่งเหล่านี้มากขึ้นทุกที ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าของสังคมเมืองยังคงมีสัญชาตญาณที่เรียกร้องหาธรรมชาติซ่อนเร้นอยู่เสมอ ซึ่งจะเห็นได้จากการพยายามนำเอาต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับต่าง ๆ เข้ามาตกแต่งในบริเวณที่ทำงานร้านค้าและที่อยู่อาศัย ให้เป็นไปตามรูปแบบของธรรมชาติมากที่สุด โดยเฉพาะภายในบริเวณบ้านเราสามารถที่จะจัด และตกแต่งให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ด้วยตัวของเราเอง โดยเจ้าของบ้านอาจจะเป็นคนลงมือทำเองทีละขั้น ตามความสามารถกำลังเงินและเวลาที่มีอยู่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จในทีเดียว หรือว่าจ้างมืออาชีพมาตกแต่งให้
      หลักเบื้องต้นของการออกแบบสวน คือทำความรู้จักกับบริเวณบ้านของตนเองโดยเขียนตัวบ้าน ขอบเขตที่ดิ้น (รั้ว) ถนนหน้าบ้านทาง ทางเข้าบ้าน โรงรถ ทางเดินต่าง ๆ กำหนดตำแหน่งของต้นไม้ใหญ่ที่จะเก็บรักษาไว้แสดงทิศเหนือ-ใต้ บริเวณที่มีปัญหาต่าง ๆ เช่น ด้านที่ร้อนแดดบริเวณที่ร่มจัดจนปลูกต้นไม้ไม่ได้ บริเวณที่มีน้ำขังแฉะในฤดูฝน หรือด้านที่ต้องการสิ่งบังตา เพราะขาดความเป็นส่วนตัวโดยที่บุคคลภายนอกสามารถมองเห็นภายในบริเวณบ้านเราได้ เป็นต้น
ลักษณะของสวนที่เจ้าของบ้านไม่ต้องดูแลรักษามาก
 1. สวนที่มีพื้นที่เป็นพื้นแข็งมากกว่าพื้นอ่อน (สนามหญ้า) ซึ่งจะทำให้ลดเวลาในการตัดหญ้า และการบำรุงดูแลรักษาอื่น ๆ แต่ต้นทุนในการทำสวนลักษณะนี้ค่อนข้างสูงในการก่อสร้างครั้งแรก
 2. ลักษณะสวนที่มีการจัดกลุ่มของต้นไม้ คือถ้าเป็นสวนหย่อมจะประกอบไปด้วยต้นไม้หลาย ๆ ชนิดแตกต่างกันไป ยิ่งมากชนิด ยิ่งต้องการดูแลรักษามากยิ่งขึ้น แต่ตรงกันข้ามกับการจัดสวนโดยการปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกันให้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งต้องการการดูแลรักษาที่เหมือนกัน จึงง่ายต่อการดูแลรักษา ทำให้ไม่เสียเวลามากนัก
 3. ประเภทของต้นไม้ที่ใช้ ต้นไม้บางชนิดต้องประคบประหงมมาก แต่บางชนิดปลูกแล้ว ดูแลรักษานาน ๆ ครั้งก็ได้ จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและแรงงานในการดูแลรักษา
 สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต้องคำนึงตั้งแต่ต้นเพราะ "สวนจะสวยด้วยการดูแลรักษา"

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การตกแต่งภายใน

 การตกแต่งบ้านมีหลักใหญ่ๆ อยู่ 2 อย่าง คือ
1. ตกแต่งโดยการสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดโดย โดยไม่มีการนำเอาของเก่าเข้ามาปะปนเลย ซึ่งวิธีนี้จะต้องมีการ เตรียมการวางแผนต่างๆ เอาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้รูปแบบที่ออก มามีความสวยงามกลมกลืนกับการออกแบบของตัวบ้าน
2. ตกแต่งโดยวิธีการปรับปรุงเอาของเดิมที่มีอยู่ ซึ่งอาจจะทำโดยเพิ่มสิ่งต่างๆ เข้าไป  เพื่อให้เกิดบรรยากาศ ใหม่ๆ หรือจะตัดทอนส่วนที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้เกิดประโยชน์การใช้สอยใหม่ก็ได้ แต่จะทำโดยวิธีใดก็ตามควรจะปรึกษา  สถาปนิกหรือ มัณฑนากรก่อนก็จะดี

     วิธีการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วยตนเอง
 การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ มีให้เลือกมากมาย หลายรูปแบบ แต่หลักในการเลือกซื้อก็ไม่ยุ่งยากอะไร มากเพียง แต่ต้องพิจารณาถึงวัสดุที่ใช้ทำ สีที่ทา และความละเอียดของ รอยต่อเชื่อม รอยต่อต่างๆ ว่าแข็งแรงหรือไม่ และโครงสร้าง ทั่วไปต้องมีความแข็งแรงทนทาน สัดส่วนถูกต้อง วิธีนี้อาจ ลองนั่งนอน หรือตรวจจับดูก็ได้ว่าใช้งาน สะดวกสบายหรือ เปล่า ที่สำคัญคือ ต้องมีราคาที่เหมาะสม ไม่แพงจนเกินไป

     เฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูป
 ข้อดี คือ มีราคาถูกกว่า ด้านคุณภาพรายละเอียด ต่างๆ และความเรียบร้อยจะมีมากกว่า การซ่อมแซมก็สามารถทำได้สะดวกกว่า ข้อเสีย คือ ใช้เนื้อที่ไม่ได้ทั้งหมด มีรูปแบบจำกัด อาจมีปัญหาเรื่องความเข้ากันของสีสัน และความกลมกลืนกับ บรรยากาศโดยรวม การทำความสะอาดยุ่งยากกว่า

     เฟอร์นิเจอร์แบบบิลด์อิน (BUILT-IN)
 ข้อดี คือ สามารถใช้งานได้ทุกซอกทุกมุม สามารถ เข้าได้กับบรรยากาศของห้อง ดูแล้วสวยงามและลงตัว ทำความ สะอาดง่าย เพราะมีพื้นที่ให้เห็นเล็กน้อย ข้อเสีย คือ ราคาค่อนข้างแพง รายละเอียดและคุณ ภาพจะด้อยกว่า เพราะต้องทำตามพื้นที่จริง ซึ่งอาจมีอุปสรรค ได้ การทำงานค่อนข้างยุ่งยาก ต้องคอยประสานกับช่างผู้ก่อสร้างบ้านด้วย การซ่อมแซมยาก ต้องรื้อออกมาหมด

การออกแบบห้องรับแขก

    ห้องรับแขกจะส่วนแรกของบ้านที่เข้ามาถึง ควรมีขนาดตั้งแต่ 12 ตารางเมตรขึ้นไป แล้วแต่
 ขนาดของบ้าน ควรมีลักษณะ โปร่ง โล่ง การวางเฟอร์นิเจอร์ไม่ควรวางกีดขวางทางเข้า และไม่ควร
 หัน หลังเก้าอี้ให้กับประตู
     ประตูหน้าต่างในส่วนของห้องนี้ควรเปิดโล่ง เพื่อความโอ่โถง และสามารถชมทิวทัศน์ภาย
 นอกได้ เพื่อความสวยงามและ เป็นจุดเด่นของตัวบ้าน
ห้องรับแขกอาจมีตู้โชว์ของเจ้าบ้านหรือตู้วางทีวี และ เครื่องเสียงก็ได้ การจัดชุดรับ
 แขกจะวางเป็นรูปตัวยูหรือตัวแอลก็ได้แล้วแต่ขนาดของห้อง ให้มีที่นั่งประมาณ 4-8 ที่
 แสงสว่างมักจะให้จากไฟเพดาน โดยเป็นโคมไฟ ห้อย หรือซ่อนตามกล่องไฟรอบ
 เพดาน อาจจะเป็นไฟกิ่ง บริเวณผนัง สำหรับส่องภาพ หรือสิ่งที่ต้องการเน้นเป็น
 พิเศษก็ได้สำหรับบ้านขนาดใหญ่ ห้องรับแขกควรอยู่ติดกับ ห้องพักผ่อน และห้องรับ
 ประทานอาหาร

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การออกแบบห้องนั่งเล่น

การออกแบบห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก/นั่งเล่นเป็นห้องที่ใช้งานมากที่สุด ของครอบครัวผู้คนบางกลุ่มชอบที่จะ รับประทาน อาหาร พบประสังสรรค์ และดื่มฉลอง กันที่บ้าน มากกว่าที่จะ ออกไปตามคลับ หรือภัตตาคาร โทรทัศน์สี วีดีโอ และเครื่องเสียงดีๆ ได้เข้ามาแทนที่ภาพยนตร์ตามโรง แม้แต่เกมคอมพิวเตอร์ ปัจจุบัน ก็สามารถซื้อหา เข้ามา เล่นสนุกสนานกันได้ภายในบ้าน ฉะนั้นการจัด ห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง พอและมีอุปกรณ์ ในการสันทนาการ ต่างๆ จึงเหมาะเป็นที่พบปะสังสรรค์ และพักผ่อนในยามว่างได้ การตกแต่งห้องนั่งเล่น ได้รับความเอาใจใส่มากขึ้น ได้มีการเพิ่ม ความแปลกใหม่ที่ยังคงให้ความรู้สึกสบาย อย่างง่ายๆ ซึ่งมีผลมาจากปัจจัย 3 ประการคือ เฟอร์นิเจอร์แปลกๆ ใหม่ๆ ที่บริษัทผู้ผลิตได้ออกแบบแตกต่างหลายหลาก และมีหลายระดับราคา ให้เลือกซื้อได้ตามความ ต้องการและกำลังทรัพย์ การใช้สีสดใสมาตัด เช่น สีชมพู เขียว หรือ เหลือง บนสีที่นิยมใช้กันอันได้แก่สีครีมอ่อน สีครีมเข้ม สีเบท และสีปนสีขาว นั้นให้ชีวิตชีวา ที่สนุกสนาน มากยิ่งขึ้น

การออกแบบห้องครัว

การออกแบบห้องครัว แบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ คือ
1. แบบติดตั้งกับผนังด้านเดียว เหมาะสำหรับห้องที่มีเนื้อที่น้อย
2. แบบผนังสองด้าน มีทางเดินตรงกลาง มีลักษณะ คล้ายแบบแรก แต่เพิ่มเนื้อที่อีก 1 ด้าน
3. แบบตัวแอล ลักษณะนี้เป็นที่นิยมกันมาก แต่ต้องมี พื้นที่มากกว่า 2 แบบแรก
4. แบบตัวยู เป็นแบบที่ดีที่สุด ใช้พื้นที่ได้มาก แต่ต้อง มีห้องกว้างพอสมควร เพราะต้องใช้ผนังถึง 3 ด้าน
      ห้องครัวที่ดีควรลดระดับต่ำกว่าส่วนอื่นของบ้านประ มาณ 10 ซม. เพื่อเวลาทำความสะอาดพื้นหรือล้างพื้นห้อง น้ำจะได้ไม่ไหลเปรอะเปื้อนห้องอื่น และที่สำคัญอีกอย่างคือ ควรให้พื้นมีความลาดเอียงเล็กน้อยสำหรับการไหลของน้ำ ลงท่อระบายน้ำที่เตรียมไว้ พื้นห้องครัวควรปูด้วยวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย เช่น กระเบื้องเซรามิค หรือหินแกรนิต สำหรับ ผนังบางส่วนอาจบุกระเบื้องชนิดบุผนัง เนื่องจากมีผิวมันลื่น เช็ดถูทำความสะอาดได้ง่าย
     ส่วนผนังที่เหลือก็ควรทาด้วยสีน้ำมัน หรือสีอะครีลิคกึ่งเงา แทนการใช้สีน้ำพลาสติคสำหรับทาภายในทั่วไป เนื่องจากจะคงทนกว่า และง่ายต่อการทำความสะอาดคราบเขม่า คราบควัน ที่เกิดจากการหุงต้มอาหารได้ดีกว่าสีน้ำมันทั่วไป
    วิธีการวางเครื่องใช้ของครัวก็คือ วางตามวิธีการทำ อาหารทั่วไป เช่น ก่อนอื่นต้องนำอาหารที่จะทำออกมาจากตู้เย็น มาพักไว้ที่เคาน์เตอร์ก่อน หลังจากนั้นก็จัดเตรียมเครื่องปรุง ส่วนผสมเรียบร้อยแล้ว ก็ปรุงอาหารด้วยเตาไฟหรือเตาอบ อาหารที่ปรุงเสร็จก็มาวางไว้ที่เคาน์เตอร์ เพื่อเสิร์ฟต่อไปอีก ทีหนึ่ง ส่วนที่อยู่ถัดมาก็คือ อ่างล้างจาน เพื่อรับจานและ ช้อนที่ใช้แล้ว ถ้าเราจัดทุกอย่างให้ถูกต้องตามลำดับขั้น ก็ จะทำให้การปรุงอาหารสะดวกและรวดเร็ว

ออกแบบห้องน้ำ

ในบ้านหนึ่งหลังนอกจากห้องนอน ที่ต้องใช้เป็นสถานที่พักผ่อนในแต่ละวันมากที่สุดแล้ว ห้องน้ำ ก็ถือเป็นอีกส่วนในบ้าน ที่อย่างน้อยทุกคนต้องใช้งานวันละ 2 ครั้ง

ด้วยเหตุนี้คงไม่มีใครไม่อยากมีห้องน้ำสวยๆ ไว้ใช้งาน จึงขอนำคอลัมน์ บทความน่ารู้ เรื่องบ้าน ในหนังสือทำเนียบสมาชิกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน 2008 มาฝากไอเดียการออกแบบห้องน้ำ

ถ้าพูดถึงห้องน้ำในอดีตที่ผ่านมา ประโยชน์ใช้สอยของห้องน้ำก็ใช้สำหรับที่ปลดทุกข์และเป็นที่ชำระร่างกายเท่า นั้นเอง แต่เนื่องด้วยปัจจุบันมีการพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆ รวมถึงการออกแบบสุขภัณฑ์และการใช้วัสดุ ตลอดจนพฤติกรรมการใช้ห้องน้ำที่เปลี่ยนไปจากเดิม วันนี้จะกล่าวถึงเทคนิคต่างๆ ดังนี้

ห้องน้ำแบบแรกสไตล์ โมเดิร์น แยกส่วนเปียกและแห้งออกจากกัน ให้มุม อาบน้ำอยู่ชิดด้านในแบบเข้ามุมเป็นการประหยัดพื้นที่มุมผนัง ก่อผนังขึ้นมาทั้ง สองข้างสูงจดฝ้าเพดานกรุกระเบื้อง สีครีมอ่อนที่มีเทกซ์เจอร์คล้ายหินอ่อนครี มาเฟล ดูสวยใสสบายตา ด้านในก่อปูนเป็นสเต็ปเตรียมไว้สำหรับนั่งขัดตัวเมื่อต้องใช้เวลานานและ กรุกระเบื้องในแบบเดียวกัน ติดกระจกใส แบบบานติดตายและบานเปิดทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดเวลาอาบน้ำ

ระยะของชักโครกอยู่ติดกับแท่นม้านั่งภายในห้องสำหรับอ่านหนังสือโดยได้ออก แบบวางชั้น ด้านใต้หล่อเคาน์เตอร์ปูนม้านั่งยืดฐานเพื่อรับกล่องของชั้นไม้ เวลา ล้างห้องน้ำจะได้ไม่โดนชั้นไม้เป็นการถนอมไม้ไปในตัว เบาะนั่งเป็นหนังเทียมสีครีมเย็บแบบดึงดุมรัดให้บุ๋มเป็นจังหวะ เตรียมไว้สำหรับนวดแบบสปาหรืออโรมา

ห้องน้ำสไตล์ ร่วมสมัย จะเป็นห้องน้ำที่มีแนวการตกแต่งแบบผสมผสานส่วนใหญ่จะเลือกกระเบื้องผนังโทน สีครีม ขาว ควรเลือกกระเบื้องแบบสีเหลี่ยมผืนผ้าจะดูดี หรู และมีราคากว่าแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนพื้นจะเลือกสีอ่อนหรือเข้มก็ได้แต่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ตู้ใต้เคาน์เตอร์ส่วนใหญ่นิยมทำเป็นสีพ่นขาวและเจาะช่องโล่งหรือระแนงไม้ เพื่อระบายความร้อนใต้อ่าง ล้างหน้า และใช้ท็อปหินสีเข้มอาจเป็นสีดำ สีน้ำตาล หรือจะใช้หินสีเขียวเข้มก็ได้ แต่บรรยากาศรอบๆ จะต้องเป็นสีขาวถึง จะเข้ากัน

ห้องน้ำสไตล์ คลาสสิก เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์แนวนี้จะมีโทนสีที่ค่อนข้างเข้มส่วนใหญ่ใช้เป็นสีโอ๊ก และมีรูปทรงอ่อนหวาน โค้ง มน มีคิ้ว และบัว ทรวดทรงของขาตู้หรือโต๊ะดัดโค้ง การตกแต่งโดยรวมจึงจัดเป็นโทนสีขาวหรือครีมของผนังและพื้นกระเบื้อง เน้นจุดสนใจจุดใดจุดหนึ่งไปที่ด้านที่มีกระจกและเป็นเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า จึงมีการทาสีเขียวเข้ม

ห้องน้ำสไตล์ บาหลี ส่วนใหญ่จะเน้นบรรยากาศโดยรวมแบบนิ่งๆ อาจมีลูกเล่นการตกแต่งผนัง ส่วนอาบน้ำด้วยการก่อผนังเพิ่มจากของเดิมขึ้นอีก 1 ขั้น และ เจาะเป็นช่องโล่งวางขวดแชมพูหรือสบู่ สีของกระเบื้อง ผนังจะใช้โทนน้ำตาลอ่อนหรือใกล้เคียงขาว เน้นพื้นเป็นกระเบื้อง สีน้ำตาลเข้มและตู้ใต้อ่างล้างหน้าเป็น สีเข้มด้วย เป็นตัน

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การออกแบบห้องทำงาน

เราโดยปกติแล้ว ต้องใช้ชีวิตอยู่กับ การทำงาน ในสถานที่ทำงานวันหนึ่งๆ ประมาณ 8 ชม. เป็นอย่างน้อย แต่มิใช่ว่าเรา จะทำงาน เพียงแค่นั้น เพราะบางครั้ง เรายังต้องหอบหิ้วงานการ กลับมาทำ ที่บ้านด้วย หรือบางคนมักจะกล่าวว่า ทำงานที่บ้าน หัวสมองแล่น กว่าที่ทำงาน ฉะนั้นจะเห็น ได้ว่ามุม หรือห้องทำงาน จึงจำเป็น อย่างมากในบ้าน ซึ่งเราควรมี ห้องทำงาน ที่เหมาะสม เอื้ออำนวย และสร้างบรรยากาศที่ดี ในการทำงานได้ เพื่อจูงใจ ให้อยากทำงาน หรือ บางครั้งการมีห้องทำงาน ที่ตกแต่งได้ดี ยังอาจช่วย ผ่อนคลายเรื่องเครียดๆ ได้อีกด้วย

การเลือกห้องทำงานมีหลักดังต่อไปนี้
1. ควรเป็นห้องที่มีอากาศถ่ายเท หมุนเวียนตลอดเวลาโดยมีช่องเปิด เช่น หน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศ อย่างเพียงพอ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของพื้นที่ห้อง
2. มีแสงสว่างพอเพียงกับการทำงาน ไม่จ้าเกินไป หรือน้อยเกินไป คือควรมีแสงสว่างไม่ต่ำกว่า 30-40 ฟุต แรงเทียน
3. เนื่องจากการทำงานต้องใช้สมาธิมาก ดังนั้น ห้องทำงาน จึงจำเป็นต้องมีความสงบเงียบ ปราศจาก เสียงรบกวน ซึ่งควรมีเสียงดังไม่เกิน 30 เดซิเบล
4. กลิ่นนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดการรบกวนประสาทสัมผัส ดังนั้นห้องทำงาน จึงไม่ควรอยู่ใกล้กับแหล่ง ที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นเน่าเหม็น กล่นสารเคมี เป็นต้น
5. ในห้องทำงานไม่ควรมีควันฝุ่น เพราะสิ่งนี้ มีอันตราย โดยตรงต่อร่างกาย คือ ทำให้ร่างกาย อ่อนเพลีย อารมณ์เครียด และอาการเจ็บป่วย

การออกแบบห้องนอน

การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด การนอนหลับสนิทเพียง 5-6 ชั่วโมง ในห้องที่เงียบสงบ มืดสนิท อุณหภูมิพอเหมาะ และอากาศถ่ายเทดี ก็นับว่า เพียงพอแล้ว สำหรับคนเราในวันหนึ่ง ๆ ห้องนอน จึงเป็นห้อง ที่ต้องการ ความสงบมากกว่าส่วนใด ในบ้าน ให้ความเป็นส่วนตัว ความสะดวกสบาย แก่เจ้าของ อีกทั้งแสดง รสนิยม และ บุคลิก ของเจ้าของห้อง ได้มากกว่า ห้องอื่น นอกจากจะใช้เป็น ห้องพักผ่อนนอนหลับแล้ว ยังอาจใช้เป็น ห้องแต่งตัว และ ห้องทำงานส่วนตัว ได้อีกด้วย การนอน ถือเป็น กิจกรรม หรือ กิจวัตรประจำวัน ที่จำเป็น ต้องมีต้องปฏิบัติ เพื่อการเริ่มต้นชีวิต ในวันใหม่ ที่สดชื่น สุดๆ พร้อมกับ ภารกิจ การทำงาน ทุกสภาวะ และโอกาสใน การทำงาน แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งของการ "นอน" ก็คือ "สุขภาพ"ที่ดีของ ร่างกาย เมื่อมี การทำงานไม่ว่า จะด้วย การใช้แรงกาย หรือแรงสมอง สติปัญญา และหรือ แม้แรงใจ แรงกระตุ้น จาก พลังจิต ภายใน ที่ทำให้คนเรา มีความสุขใน การทำงาน ปฏิบัติงาน ในหน้าที่ของ แต่ละท่าน ให้ได้ผลสมบูรณ์เต็มร้อย ควรอย่างยิ่งต้องมีการ นอน เป็นกิจกรรมที่สำคัญของวัน ที่เราๆ ทุกท่านต้อง พักผ่อนด้วย การนอน

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สวนแบบประดิษฐ์

พื้นที่ในการจัดสวนแบบประดิษฐ์นั้นจะเป็นพื้นที่ราบเรียบได้ระดับ ไม่นิยมพื้นที่ ที่มีระดับสูง ๆ ต่ำ ๆ การจัดวางต้นไม้หรือวัตถุ จะต้องทำให้เกิดความสมดุล แบบประดิษฐ์หรือ Formal balance โดยที่ต้นไม้หรือวัตถุจะต้อง ชนิด เดียวกัน  รูปทรง เหมือนกัน  ขนาด เท่ากัน   จำนวน เท่ากัน ระยะห่าง เท่ากัน จำนวนต้นไม้ หรือวัตถุจะจัดแบบคู่ขนาน คือ จำนวน 1:1 หรือ 2:2 ฯลฯ ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด      

การปลูกไม้ประดับยืนต้น การจัดแปลงไม้ดอกไม้ใบ และการจัดวางวัสดุต่าง ๆ ซ้ำกัน(1:1 หรือ 2:2) จำเป็นต้องใช้เนื้อที่ในการจัดมาก รูปทรงต้นไม้หรือวัตถุต่าง ๆ มีรูปทรงแบบเลขาคณิต เช่นต้นไม้ใหญ่ ไม้พุ่ม แปลงไม้ดอกไม้ใบ จะตัดแต่งเป็นรูปทรงกลม หรือรูปทรงเหลี่ยม ส่วนวัตถุต่าง ๆ เช่นกระถางต้นไม้ โคมไฟฟ้า อ่างน้ำพุ ฯลฯ มักมีรูปทรงหรือเหลี่ยมเช่นเดียวกัน

การดูแลรักษาสวน

1. การตัดแต่ง (Pruning) เป็นการช่วยปรับปรุงโครงสร้างของต้นไม้ ให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น ทำให้ลำต้นแข็งแรงตั้งตรง และอาจจะตัดแต่งเป็นรูปร่างต่าง ๆ เช่น ตัดเป็นรูปฉัตร เป็นรูปสี่เหลี่ยม ฯลฯ นอกจากนี ้ยังเป็นการกำจัดกิ่งที่เป็นโรค หรือกิ่งที่เหี่ยวแห้งและเป็นการบังคับให้ออกดอก ออกใบ และออกผลไปในตัวด้วย การตัดแต่งควรทำในช่วงฤดูแล้ง ขณะที่พืชเข้าสู่การพักตัว เมื่อได้น้ำและอาหารในฤดูฝน กิ่งก้านใบใหม่จะแตกออกมา ทำให้ต้นไม้สดชื่นขึ้นได้ในไม่ช้า
2. การใช้ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง การใช้ปุ๋ยเป็นวิธีการบำรุงดินให้มีคุณสมบัติตามกายภาพ คือมีความร่วนซุย สามารถระบายอากาศและน้ำได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์ มีธาตุอาหารที่พืชต้องการ และสามารถดูดซึมอาหารไปใช้ได้ ปุ๋ยจะมีอยู่สองชนิดคือ ปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ใส่เพื่อเป็นตัวปรับปรุงสภาพดิน และเป็นแหล่งแร่ธาตุอาหารที่สลายตัวอย่างช้า ๆ ในดิน
     ส่วนปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ให้ธาตุอาหารหลักโดยตรง อันได้แก่ N-P-K (ไนโตรเจน-ฟอสฟอรัส/โปแตสเซียม) ซึ่งมีขายตามท้องตลาดโดยแสดง เป็นตัวเลข 3 ตัวเรียงกัน เช่น 16-16-16 หรือที่เรียกกันว่าสูตรปุ๋ยเสมอ สูตรที่มี N สูง ใช้เร่งความเจริญเติบโตของลำต้นและใบ สูตร P สูง ใช้เร่งการออกดอก สูตร K สูง ใช้เร่งการออกผล
     ดังนั้น การเลือกใช้ปุ๋ยก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับต้นไม้ที่ปลูก ส่วนยาฆ่าแมลง ใช้เพื่อป้องกันและกำจัดโรคแมลงศัตรูพืช ควรเลือกใช้ยาตามชนิดศัตรูพืช
     ก่อนใช้ยาฆ่าแมลงควรอ่านฉลากยาให้เข้าใจและปฏิบัติตามอย่างระมัดระวัง เมื่อท่านทำความเข้าใจโครงสร้างต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นสวนแล้ว ก่อนที่ท่านจะเริ่มตัดสินใจว่าจะใช้วิธีใด ถึงจะเหมาะกับสวนในบ้านของท่าน จะทำเองทีละขั้น หรืออาศัยผู้ชำนาญมาดูแลให้ ท่านก็ควรจะตัดสินใจวางแนวทางได้แล้วว่า จะจัดสวนอย่างไรดี โอกาสผิดพลาดย่อมลดน้อยลง และท่านก็จะได้สวนตามใจชอบของทุก ๆ คนภายในบ้าน

แบบบ้านประหยัดอยู่สบาย

พื้นที่ใช้งาน รวมทั้งหมดของบ้าน 70 ตร.ม.
ตัวบ้านมีความกว้าง*ยาว 8.5m * 9.5m  โดยต้องมีพื้นที่ด้านข้างอีกฝั่งละ 2 m ตามกฏหมาย ดังนั้นเล็กที่สุดที่ดินควรมีขนาด กว้าง*ยาว ประมาณ 12.5*13.5 = 168.5 (~17 ตร.ม.) หรือ 42.5 ตร.วา
2ห้องนอน/ 1ห้องน้ำ / 1ห้องรับแขก พร้อมห้องครัวแบบ out door
จุดเด่นบ้าน
        1) block concrete ออกแบบให้สามารถก่อสร้างได้เร็ว ด้วยระบบ interlock ให้ประหยัดแรงงาน และ การใช้ปูนก่อ
        2) ระบบไหลเวียนอากาศ ได้ออกแบบให้อากาศภายนอกไหลเวียน เข้าออกได้ดี (ช่องอากาศเหนือ loft) และหลังคาและฝ้าในบริเวณห้องนอนออกแบบให้สูงโปร่ง เพื่อประหยัดการใช้เครื่องปรับอากาศ
        3) บ้านถูกออกแบบให้มีการใช้สอยพื้นที่สูงสุด และ มี design ที่ทันสมัยแตกต่าง เช่น มีการสร้าง loft เหนือพื้น  
        4) หลอดไฟ ใช้หลอดตะเกียบประหยัดไฟ
        5) ไฟในห้องน้ำ ใช้แบบสายชักเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ ไม่ต้องสัมผัส สวิทช์ไฟเมื่อร่างกายเปียก
        6) ก๊อกน้ำ ใช้บอลวาล์ว เพื่อประหยัดการใช้น้ำ
        7) หลังคาบ้าน ออกแบบให้มี slope ที่มีการวิจัยว่า เหมาะสำหรับการติดแผงโซลาเซลล์


วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีเติมบ้านให้มีเสน่ห์

ไอเดียง่ายๆ ที่ใครต่อใคร ก็ทำเองได้ เมื่อนึกอยากจะปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ภายในบ้านให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น

การติดมูลี่หรือฉาก เป็นการแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้เป็นสัดส่วนแบบไม่ยุ่งยาก แถมยังมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับการต่อเติมหรือกั้นห้อง อีกทั้งยังช่วยซ่อนความรกของชั้นวางของและทำให้ห้องดูเรียบร้อยมากขึ้นอีก ด้วย

การลองเปลี่ยนโคมไฟใหม่ เพราะแสงส่งผลต่อพื้นที่มากกว่าสิ่งอื่นใด และยังช่วยเปลี่ยนอารมณ์ของห้องได้อีกด้วย ดังนั้น การเปลี่ยนโคมไฟและหลอดไฟให้เหมาะกับห้องก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่แตกต่างออก ไป เช่น การติดโคมไฟแชนเดอเลียร์เหนือโต๊ะรับประทานอาหารเพียงอันเดียวก็ทำให้ห้องดู สวยงามมีสไตล์ขึ้น

การจัดมุมเล็กๆ ของตัวเอง อาจเริ่มจากห้องนอนของตัวเองก่อน เพราะห้องนอนเป็นห้องที่แต่ละคนใช้งานมากกว่า 8 ชั่วโมงในแต่ละวัน ดังนั้น ถ้าห้องนอนของเราน่าอยู่ ก็จะมีแรงบันดาลใจในการตกแต่งห้องส่วนอื่นๆ ของบ้านต่อไป

การติดผ้าม่าน การติดผ้าม่านเป็นวิธีช่วยกรองแสงแดดให้เข้าสู่ตัวบ้านได้อย่างเหมาะสม และการติดผ้ากรุซับในด้านหลังม่านจะช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวให้ห้องนั้นๆ เทคนิคง่ายๆ อีกอย่างคือ ติดผ้าม่านชนิดทิ้งชายเป็นแนวยาวจากเพดานจรดพื้น จะช่วยพรางตาให้ห้องที่มีเพดานเตี้ยดูสูงขึ้น

ลองปรับเปลี่ยนเพียงเท่านี้ บ้านของคุณก็จะกลับมามีเสน่ห์ ชวนให้อยากพักผ่อนในแบบสบาย

หลักการจัดบ้านให้เย็น

      การจัดบ้านให้เย็นแบบสัมผัสได้ ถ้าว่าง่ายที่สุด ก็คือติด แอร์ หรือพัดลม ซึ่งแน่นอนแก้ปัญหาทันที อันที่จริงบ้านเราถ้าจะไม่ใช้อุปกรณ์เครื่องกลในการลดความร้อนของหน้าร้อน แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ต้องไปอยู่ตามท้องทุ่งหรือริมทะเล แต่ถ้าท่านต้องการอยู่ในเมืองแล้วมีการสร้างสัมผัสเย็นสบาย ลองเอาองค์ประกอบหลัก 5 อย่างในธรรมชาติมาใช้กับบ้านเราเพื่อสร้างบรรยากาศบ้านเย็นดีกว่า องค์ประกอบ 5 ธาตุหลักคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ ถ้าเรารักษาสมดุลย์ของทั้ง 5 อย่างในบ้านเราได้รับรองเย็นสบายแน่นอน การเริ่มให้ดูก่อนว่าบ้านเราขาดอะไรใน 5 อย่างนี้ หรือมีอะไรที่มากเกินไป อะไร ที่เกินก็ลด อะไรที่ขาดก็เพิ่ม ลองมาดูว่ามีอะไรบ้าง

ดิน กระเบื้อง หิน อิฐ รวมถึงสนาม ก็คือ ดิน เรา ต้องเห็นหรืออยู่กับดิน คือท่านอาจมีสวนหย่อมภายนอกบ้านหรือห้อง พื้นห้องที่ไม่ใช่ห้องนอนก็เป็นกระเบื้องหรือหิน ทั้งกระเบื้องและหินต่างมีคุณสมบัติดูดความชื้น ยิ่งอยู่ในที่ร่มจะเย็นตลอดเวลา มีส่วนช่วยลดอุณหภูมิได้ดีมาก แต่มีข้อระวังผู้ใหญ่ ท่านที่มีโรคปวดข้อ ปวดกระดูก ไม่ควรนั่งบนพื้นเย็นๆ โดยตรงแต่ให้มีผ้ารองหรือนั่งบนเก้าอี้

น้ำ ตรงตัว ก็คือน้ำ หรือ แก้ว กระจก การมีบ่อปลา หรือบ่อบัวใกล้ๆ หรือแบบโบราณมีโอ่งดินเผาใส่น้ำ หรือรองน้ำฝนไว้ ใกล้ห้องนั่งเล่น แต่ถ้าอยู่ในที่เล็ก เอาแก้วน้ำใสสวยๆเลี้ยงพลูด่างวางข้างหน้าต่างก็ได้ คำเตือนอออย่าเอาน้ำฝนในเมืองมาดื่มเหมือนสมัยก่อน นะค่ะ แค่รดน้ำต้นไม้ก็พอ

ลม บ้านโปร่ง ลมเย็นผ่าน อย่างที่บอกข้างต้นว่าต้องใช้เครื่องกลช่วย ทั้งพัดลมและแอร์ ถ้าท่านต้องการเย็นสบายฉ่ำ แต่ถ้าท่านทำได้เลือกทิศบ้านวางด้านยาวให้อยู่ในแนวทิศเหนือใต้เพื่อเปิดรับ ลมพร้อมหลบแดด
ได้ตั้งแต่ต้นจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่หากห้องท่านอยู่ในทิศตะวันออก ตะวันตก หัวข้อไม้ช่วยได้มาก หากว่าบ้านท่านอยู่ทิศถูกก็จริงแต่อยู่ในเมืองที่อับลมคงต้อง

ไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหลายอย่าใช้ในห้องแอร์มากนัก จะทำให้แอร์ทำงานหนักและเย็นช้า

ไม้ เป็นสิ่งมีส่วนร่วมในชีวิตของเราหลายรูปแบบมากทั้งที่เป็นต้นไม้ ไม้แปรรูปและผ้า ถ้าท่านอยู่บ้านไม้อยู่แล้วนับเป็นบุญ เพราะบ้านไม้ระบายอากาศดีเยี่ยมแต่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับการติดแอร์ แต่การอยู่บนพื้นไม้ก็เย็นสบายและดีต่อสุขภาพ เพื่อร่วมกันรณรงค์ลดความร้อนวัสดุ เช่น พื้นไม้ลามิเนต หรือไม้ที่มาจากแหล่งป่าปลูกเห็นจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

นิยามบ้านและสวน 1

บ้านและสวน สวนที่อยู่ใน่บริเวณบ้านของเราจะสวยหรือไม่สวยนั้นขึ้นอยู่ที่การมองของ แต่ละคน ประโยชน์ใช้สอยของผู้ใช้ บ้านและสวน ของเจ้าของบ้านบางคนต้องการสวนแบบโปร่ง ๆ มีแค่สนามหญ้ากับต้นไม้ที่ให้ร่มเงาสักต้นสองต้น กับเก้าอี้ตัวโปรดไว้นั่งในยามพักผ่อน บางคนชอบแบบธรรมชาติมีต้นไม้ร่มรื่น มุมน้ำตกและธารน้ำไหลไว้นั่งมองเมื่อต้องการผ่อนคลาย

คน ส่วนใหญ่ชอบแนวสวนของบ้านคนอื่นจำไอเดียดี ๆ เอามาประยุกต์ใช้กับ บ้านและสวน ของตัวเอง จนบางที ไอเดียต่าง ๆ ที่นำมา กระจุกรวมอยู่ในบ้านของเราจนรกไปหมดทำให้เหมือนของไม่มีค่าทำอย่างไรให้บ้าน และสวนเหล่านั้นพอมารวมกันแล้วเกิดความลงตัวมีเอกลักษณ์ มีสไตล์เป็นของเราเองไม่เหมือนใครถูกใจเจ้าของ และไม่ต้องมานั่งวุ่นวายไปแอบจำไอเดียเพื่อนบ้านมาใช้กันอีก

ปกติ แล้วธรรมชาติกับมนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอ เพียงแต่คนในเมืองหลวงได้ละทิ้ง สิ่งเหล่านี้มากขึ้นทุกทีในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าของสังคมเมืองยังคงมี สัญชาตญาณที่เรียกร้องหาธรรมชาติซ่อนเร้นอยู่เสมอ ซึ่งจะเห็นได้จากการพยายามนำเอาไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ เข้ามาตกแต่งในบริเวณที่ทำงานร้านค้าและที่อยู่อาศัย ให้เป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุดโดยเฉพาะภายในบริเวณบ้านเราสามารถที่จะจัดและ ตกแต่งให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ด้วยตัวของเราเอง โดยเจ้าของบ้านอาจจะเป็นคนลงมือทำเองทีละขั้น ตามความสามารถกำลังเงินและเวลาที่มีอยู่ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จในที เดียว หรือว่าจ้างมืออาชีพมาตกแต่งให้

หลักเบื้องต้นของการออกแบบสวนก็คือ ทำความรู้จักกับบริเวณของตนเองโดยเขียนตัวบ้านขอบเขตที่ดิ้น (รั้ว) ถนนหน้าบ้านทางเข้าบ้าน โรงรถ ทางเดินต่าง ๆ กำหนดตำแหน่งของต้นไม้ใหญ่ที่จะเก็บรักษาไว้แสดงทิศเหนือ-ใต้ บริเวณที่มีปัญหาต่าง ๆ เช่น ด้านที่ร้อนแดดบริเวณที่ร่มจัดจนปลูกต้นไม้ไม่ได้ บริเวณที่มีน้ำขังแฉะในฤดูฝน หรือด้านที่ต้องการสิ่งบังตา เพราะขาดความเป็นส่วนตัวโดยที่บุคคลภายนอกสามารถมองเห็นภายในบริเวณบ้านเรา ได้ เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรื่องที่ควรตรวจสอบก่อนซื้อบ้าน

     วงเงินการปล่อยกู้จากสถาบันการเงิน
ทั้งนี้เพื่อจะได้ทราบระดับราคาบ้านที่จะสามารถซื้อได้โดยผู้ซื้อสามารถตรวจสอบได้ที่ฝ่ายให้บริการสินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ หรือตามเว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลด้านที่อยู่อาศัย หรือตามเว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลด้านที่อยู่อาศัย หรือตามเว็บไซต์ของสถาบันการเงิน ซึ่งโดยปกติสถาบันการเงินจะปล่อยกู้ประมาณ 25-30 เท่าของอัตราเงินเดือนผู้กู้ ในกรณีที่ผู้ซื้อมีผู้กู้ร่วมด้วยอัตราส่วนเพิ่มของวงเงินกู้ ก็จะเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเดือนของผู้กู้ร่วม ทั้งนี้สถาบันการเงินอาจจะพิจารณาปล่อยกู้เกินกว่าวงเงินขั้นต่ำที่กำหนด โดยพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น อาชีพ ความมั่นคง ความก้าวหน้า ความสามารถในการผ่อนชำระ อาชีพเสริมที่รู้แหล่งที่มาของรายได้ เป็นต้น
    ข้อมูลโครงการ
โดยแบ่งแยกตามทำเล ระดับราคา และประเภทที่อยู่อาศัยที่สนใจ จากสื่อสิ่งพิมพ์หรือเว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลด้านที่อยู่อาศัย ทั้งนี้เพื่อประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปดูโครงการจริง
    ข้อมูลทางราชการ
เช่น แนวเวนคืน โครงข่ายสาธารณูปโภค-สาธารณูปการที่มีอยู่ และจะเกิดขึ้นในอนาคตข้อมูลบางอย่างจะมีประโยชน์ต่อการอยู่อาศัย เช่น การก่อสร้างทางด่วน การตัดถนน เป็นต้น
    ผังเมืองรวม
ควรหลีกเลี่ยงโครงการที่อยู่ในเขตผังเมืองประเภทพื้นที่อุตสาหกรรม หรือพาณิชยกรรม หรือที่พักอาศัยหนาแน่นมาก เพราะพื้นที่เหล่านี้จะเป็นเขตที่มีผู้คนอยู่หนาแน่น และมีกิจกรรมต่างๆ มากมายที่ทำให้เกิดมลภาวะ ปัญหาการจราจร ฯลฯ
    สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น
เช่น โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ฯลฯ เพราะหากมีความจำเป็นต้องใช้บริการ จึงควรตรวจสอบระยะเวลา และความสะดวกในการเดินทาง
    เส้นทางการเดินทาง และโครงข่ายการจราจร
เช่น ข้อมูลการเดินรถสาธารณะ เส้นทางรถโดยสารสาธารณะจำนวนสายเดินรถ ช่วงเวลาการให้บริการ โดยเฉพาะรถโดยสารประจำทางที่จำเป็นต้องใช้ประจำระหว่างบ้านกับที่ทำงาน และโรงเรียนลูกหรือข้อมูลทางด่วน ถนนซอยต่างๆ ปริมาณการจราจร จุดที่มีปัญหา และเส้นทางลัด เป็นต้น

เทคนิคการออกแบบ ตกแต่งบ้าน ลดภาวะโลกร้อน

ปัจจุบันภาวะโลกร้อนมีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดโลกร้อนได้
การออกแบบบ้าน เพื่อให้ผู้อยู่อาศัย อยู่แล้วสบายที่สุด มีเทคนิควิธีการออกแบบ เพื่อลดภาวะโลกร้อนขึ้น ดังนี้
10 เทคนิค ออกแบบบ้านช่วยลดภาวะโลกร้อน
  1. เลือกโทนสีสีอ่อนเพื่อช่วยให้บ้านสว่างและไม่ดูดซับความร้อน
  2. จัดตกแต่งสวนบริเวณรอบ ๆ บ้าน เพื่อความเย็นสบาย และยังให้ร่มเงากับบ้านได้อีกด้วย
  3. เลือกวัสดุในการตกแต่งบ้าน ควรดูดซับความชื้นภายในห้องให้ดีที่สุด เพราะมีผลต่ออุณหภูมิภายในบ้าน เช่น พื้นไม้ลามิเนต
    ไม่ดูดซับความชื้น จึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิห้องด้วย เป็นต้น
  4. เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีเครื่องตรวจจับอุณหภูมิ และตัวตัดการทำงานของเครื่อง พร้อมทั้งการมีพัดลมในบริเวณเดียวกัน
    เพื่อลดระยะเวลาการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
  5. ไม่ควรเปิดหน้าต่าง หรือประตูเมื่อเครื่องปรับอากาศทำงาน
  6. การสร้างบ้านใหม่ ควรใช้ฉนวนกันความร้อน และกระจกที่มีคุณภาพ เพื่อกรองความร้อนไม่ให้เข้าภายในตัวบ้าน เครื่องปรับอากาศจะได้ไม่ต้องทำงานหนัก
  7. แบ่งสัดส่วนภายในบ้านให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก เป็นการลดการใช้แอร์ได้อีกทาง
  8. เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 และกำจัดอุปกรณ์เปลืองไฟที่ไม่ได้มาตรฐาน
  9. ใช้หลอดประหยัดไฟ
  10. นำเอาวัสดุที่ใช้แล้ว มาประดิษฐ์เป็นของตกแต่งบ้าน เป็นการช่วยลดขยะอีกทางหนึ่ง

การกำหนดพื้นที่ใช้สอย

ที่ว่างภายในบ้านและอาคารเป็นพื้นฐานสำหรับการตกแต่งภายใน ส่วนใหญ่พื้นที่การใช้สอยที่ได้รับการกำหนด มาล่วงหน้าแล้วนั้น ในขั้นตอนการก่อสร้าง ว่าจะมีกี่ห้องนอน กี่ห้องน้ำ กำหนดให้ห้องรับแขกอยู่ที่ไหน และใช้พื้นที่ใด้ เป็นห้องครัว หรือห้องรับประทานอาหาร แต่จะมีสักกี่ราย ที่สามารถใช้พื้นที่ใช้สอยตามความต้องการ และความจำเป็น ก่อนการปลูกสร้าง เพราะส่วนใหญ่ ในการซื้อบ้านนั้น มักจะซื้อ บ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม ที่มีการจัดพื้นที่ใช้สอยไว้ล่วงหน้าแล้ว
ถ้าท่านสามารถกำหนดไว้ได้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่ในขณะนั้นความต้องการ และความจำเป็นในการใช้พื้นที่ใช้สอยนั้น สำหรับคู่สามี-ภรรยาที่แต่งงานกันใหม่ ห้องนอนจึงใช้เพียงห้องเดียว พื้นที่ใช้สอยอื่น ก็ทำไว้สำหรับสองคนเท่านั้น แต่เมื่อครอบครัวขยายขึ้น ความต้องการพื้นที่ใช้สอยจึงเปลี่ยนไป

การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใช้สอย ภายในบ้านนอกจาก จะเปลี่ยนตาม ความจำเป็น ของสภาพครอบครัวแล้ว สิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะเป็นตัวกำหนด ก็คือ " รสนิยม " ซึ่งเป็นตัวกำหนด หลักการของการตกแต่ง ให้ออกมารูปแบบต่าง ๆ เดิมอาจชอบเปิดโล่ง ที่มีพื้นที่ต่อเนื่องกันได้ทั้งบ้าน โดยไม่มีผนังมากั้นกลาง ภายหลังเพื่อ ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น จึงต้องการมีห้องที่มีลักษณะปิดกั้นจากภายนอก หรือเดิมชอบบ้านแบบเรียบ ๆ มีของตกแต่งเท่าที่จำเป็น แต่กลับมาชอบการตกแต่งที่สมบูรณ์แบบ มีภาพแขวนบนผนัง มุมว่างจัดวางไว้ด้วยประติมากรรม หน้าต่างและประตูทุกบานติดม่านจับจีบ ซึ่งความต้องการเหล่านี้ อาจจะต้องทำให้มีการกั้นห้อง หรือรื้อผนังออกไป เพื่อความเหมาะสมของการตกแต่ง.

แบบแปลนบ้าน

ก่อนที่จะรื้นถอน หรือกั้นผนังบ้านเพื่อเป็นการปรับปรุงพื้นที่การใช้สอยนั้น ควรพิจารณาถึง วิธีการอย่างง่าย ๆ เสียก่อน ลองพยายามนึกถึงห้องต่าง ๆ ภายในบ้านอย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน บางทีเพียงแต่ท่านสลับห้องกันระหว่างห้องนอน และห้องนั่งเล่นก็อาจจะได้สิ่งที่ต้องการ โดยไม่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ถ้าต้องการห้องรับแขกที่กว้างขวาง อาจจะเอาเฟอร์นิเจอร์ ที่เกินความจำเป็นออกไป หรือจัดกลุ่มเครื่องเรือนใหม่ทำให้เกิดที่ว่างกว้างขวางกว่าเดิม
อีกประการหนึ่งให้นึกถึง ความสัมพันธ์ ระหว่างธรรมชาติภายนอก กับการใช้สอยภายใน การที่จะใช้พื้นที่ไหนทำอะไร จะต้องคำนึงถึงแสงสว่าง ทิศทางลม ตัวอย่างเช่น แสงแดดในยามเช้านั้นดูน่าสบายในการรับประทานอาหารเช้า จึงควรจัดห้องรับประทานอาหาร ให้อยู่ด้านที่แสงแดด ส่องเข้าถึง ห้องพักผ่อนสำหรับครอบครัว ควรจะอยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี สามารถอยู่อาศัยได้ทั้งวัน จะต้องเป็นห้องที่ไม่ที่เสียง และฝุ่นละอองจากภายนอกแต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจจะต้องใช้ฉาก หรือม่านกั้นหรือระบบปรับอากาศ
ในกรณีที่คุณมีเงินมากพอ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง พื้นที่ใช้สอย ก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่จะรื้อบางส่วนออก หรือสร้างผนังบางส่วน ขึ้นมาก็ย่อมเป็นไปได้ แต่ถ้าจะทำเช่นนั้นควรวางแผนและไตร่ตรองให้รอบคอบแล้วเท่านั้น เพราะเมื่อจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปแล้ว ต้องมั่นใจว่า จะได้รับประโยชน์จากที่ว่างอย่างสูงสุด หรือผนังภายในบ้านแบ่งได้กว้าง ๆ ออกเป็นสองประเภท คือ ผนังรับน้ำหนัก และผนังที่ไม่ได้รับน้ำหนัก การรื้อผนังที่ไม่รับน้ำหนักสามารถรื้ออกได้ทันที แต่การรื้อผนังรับน้ำหนักที่ต้องรับน้ำหนักชั้นบนอยู่ จะต้องทำคานสำหรับรับน้ำหนักไว้แทน วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าผนังไหนรับน้ำหนัก คือ ถ้ามีผนังด้านบน ตรงกับผนังด้านล่าง แสดงว่าเป็นผนังรับน้ำหนัก

การเลือกโทนสีในการแต่งบ้าน

การเลือกสีในการแต่งบ้านมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างบรรยากาศภายในบ้านและสามารถบ่งบอกได้ถึงบุคคลิกของเจ้าของบ้าน
วันนี้เรามีข้อแนะนำเกี่ยวกับลักษณะ ของสี และตัวอย่างการจับคู่สีในการแต่งบ้านมาฝาก

วงจรสี แสดงการผสมสี โดยเริ่มจากแม่สีสามสี คือ เหลืองแดง
น้ำเงิน แล้วเกิดเป็นสีขั้นที่สอง คือ เขียว ส้ม ม่วงและสีขั้นที่สาม คือการผสมระหว่างสีขั้นที่หนึ่งกับขึ้นที่สองและสีที่อยู่ตรงข้ามกัน
ในวงจรนี้เรียกว่า สีคู่ตรงข้ามหรือสีตัดกัน เช่น จากรูป สีแดง ตรงข้ามกับสีเขียวแสดงว่าสีแดง และสีเขียวเป็นสีตัดกัน ส่วนสีที่อยู่ติดกันรียกว่าสีข้างเคียงและจากรูปจะมีการแบ่งส
ีออกเป็น สีโทนร้อน และสีโทนเย็น

ห้องนอนห้องนั่งเล่น
         ตัวอย่างการจัดห้องแบบสีกลมกลืน     สีกลมกลืน
การเลือกใช้สีกลมกลืน หรือสีที่มีโทนใกล้เคียงกัน จะให้
ความรู้สึกที่ไปในแนวทาง เดียวกันเช่น การเลือกสีโทนร้อน
ก็จะให้ความรู้สึกอบอุ่น หากเลือกสีโทนเย็น ก็จะให้
ความรู้สึกเย็นสบาย แต่การเลือกสีแบบกลมกลืนนี้ อาจจะทำ
ให้เกิดความรู้สึกน่าเบื่อได้เพราะไม่มีสีใดเป็นจุดเดนสร้าง
ความตื่นเต้น

dining room
ตัวอย่างการจัดห้องแบบสีตัดกัน     สีตัดกัน
จากวงจรสีจะเห็นว่าสีที่อยู่ตรงข้ามกัน คือสีคู่ตรงข้ามรือสี
ตัดกัน เมื่อนำมาจับคู่กัน จะเกิดความแตกต่างกันอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อนำมาใช้จึงไม่ควรนำมาใช้ในปริมาณที่เท่าๆกัน
50%-50% นอกเสียจากว่าคุณต้องการความ แตกต่างอย่าง
รุนแรง แต่ควรเลือกใช้สีใดสีหนึ่งมากกว่าอีกสีหนึ่ง ควรอยู่ใน
ปริมาณ 30%-70%, 20%-80%, 10%-90% จะสามารถสร้าง
ความสดใส และความน่าสนใจ ให้กับบ้านได้เป็นอย่างมาก

ตัวอย่างการจัดห้องแบบสีผสม
  
สีผสม
การใช้สีผสมอาจจะสร้างความลำบากใจได้มากกว่าเนื่องจาก
มีความหลากหลายของสี ดังนั้นจึงควร แบ่งสีที่คุณเลือกออก
เป็นสีหลักและสีรอง โดยเลือกให้ สีหลักมีปริมาณมาก
และคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในบ้านแล้วสีอื่นๆใช้เป็นสีรอง ซึ่งใช้
ในปริมาณที่น้อยกว่า รืออาจะใช้สีขาวซึ่งมีความเป็นกลาง
เข้ามาช่วยจะทำให้สีต่างๆเข้ากันได้

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เฟอร์นิเจอร์ ในสวน

    เฟอร์นิเจอร์ ในสวน หมายถึงวัสดุต่าง ๆ ที่นอกเหนือไปจากต้นไม้ และวัสดุปูพื้นที่ใช้ตกแต่งในบริเวณสวน เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิด จุดเด่น จุดน่าสนใจ หรือไว้ใช้งานใสบางครั้ง ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
1)    หิน หินใช้มาตกแต่งสวนนั้นจะต้องใช้หินชนิดเดียวกัน แต่ให้แตกต่างกันที่ขนาด ไม่ควรใช้หินหลากหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน หินที่นิยมใช้ในการจัดสวนคือ หินภูเขา หินแม่น้ำ หินทะเล หินกาบ หินชั้น หินแผ่น โดยทั่วไปแล้ว มักใช้หินนำมาจัดเป็นสวนหย่อม ซึ่งนิยมใช้หินก้อนใหญ่ ๆ ประกอบกับไม้คลุมดิน หรือจัดเป็นสวนหิน ซึ่งนิยมจัดในบริเวณที่ไม่สามารถปลูกหญ้าได้ หรือในพื้นที่ขนาดเล็ก การจัดสวนหินนี้ นอกจากมีหินใหญ่เป็นประธานแล้ว ยังต้องใช้กรวดก้อนเล็ก ๆ ประกอบด้วย นอกจากนี้อาจใช้หินตกแต่งเป็นทางเท้าโดยมากนิยมใช้หินแผ่น หรือใช้หินปูบริเวณโคนต้นไม้เพื่อแยกสนามหญ้าออกจากโคนต้นไม้ใหญ่ เพื่อสะดวกในการตัดหญ้าหรือปูรองรับบริเวณที่น้ำฝนตกลงกระทบ เพื่อลดการกระแทกของน้ำฝนกับผิวหน้าดิน
2)    เก้าอี้ชุดสนามและม้านั่งต่าง ๆ จัดเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญในสวน ไม่ว่าจะมีสวนประเภทใดขนาดเท่าใดมักจะมีเก้าอี้สนามกันทั้งนั้น เพราะการมีเก้าอี้สนามไว้ในสวนแสดงให้เห็นถึงการเชื้อเชิญให้หยุดพักผ่อน และนั่งเล่น ดังนั้น เก้าอี้ชุดสนามควรมีอายุการใช้งานที่นานปี ทนแดดทนฝนได้ดี ส่วนมากจะทำมาจากวัสดุ ประเภท ไม้ หินขัด หินธรรมชาติ เหล็กหล่อ อัลลอยด์ ผ้าใบ พลาสติก ฯลฯ หรืออาจจะเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์มาจากวัสดุที่เหลือใช้ภายในบ้านได้
        เก้าอี้ชุดสนามมักประกอบไปด้วย โต๊ะและเก้าอี้ 4 ตัว จัดวางไว้บริเวณลานพักผ่อนที่จะนั่งเล่น หรือตามเทอร์เรส ใช้นั่งรับประทานอาหารว่างยามบ่าย จัดไว้ในบริเวณศาลาในสวน ลานโคนต้นไม้ หรือจัดให้กลางสนามใต้ร่มไม้ ซึ่งบริเวณที่จัดวางชุดสนามนี้ ควรปูพื้นแข็งรองรับก่อนทำให้สามารถใช้งานได้ทุกฤดูกาล
        ม้านั่งโดยทั่วไปมีทั้งเป็นชุดและตัวเดี่ยว ซึ่งกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1 เมตร สามารถยกไปตั้งตามทางเดิน ใต้ต้นไม้ ริมสระน้ำ หรือที่ใดที่หนึ่งที่เราพอใจไว้นั่งตามลำพัง เมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว
3)    รูปปั้น  การนำรูปปั้นมาตกแต่งสวนนั้น เป็นวิธีการเรียกร้องความสนใจอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบที่บังคับให้ คนมอง โดยเฉพาะรูปปั้นที่เป็นรูปคนมักจะเป็นจุดสนใจสร้างจินตนาการให้ระลึกถึงอดีต เป็นงานศิลปะ ที่มีค่ามากในการนำมาตกแต่งสวน โดยทั่วไปแล้วรูปปั้นมักจะทำมาจากดินเผา หิน ทองแดง เหล็ก หินอ่อน ไม้ ไฟเบอร์ บรอนซ์ และวัสดุอื่น ๆ อีกมากมาย
        ในพื้นที่แคบ ๆ ไม่ควรใช้รูปแบบคลาสสิค ควรใช้รูปปั้น Abstarct ซึ่งทำด้วยโลหะ จะมีลักษณะมันวาว ทำให้พื้นที่ดูกว้างขึ้น การจัดวางรูปปั้น ก็ต้องคำนึงถึงมุมมอง อย่าวางรูปปั้นให้หลบซ่อนเกินไปควรมีฉากหลังที่ทำให้รูปปั้นดูเด่นขึ้น ต้นไม้ที่ใช้ควรมีรูปทรงที่สะดุดตา เช่นสนเลื้อย เศรษฐีไซ่ง่อน ซุ้มกระต่ายด่าง และไม้ประดับต่าง ๆ ถ้าบ้านเป็นแบบคลาสิค เสาโรมันจำลอง ฯลฯ หรือถ้าบ้านแบบทันสมัย จะใช้รูปปั้นได้กว้างขวางกว่าไม่ว่าแบบคลาสิคหรือแบบ Abstarct สำหรับบ้านทรงไทยมักจะใช้โอ่งบ้านเชียง สังคโลก หรือล้อเกวียนมาตกแต่ง ส่วนสวนญี่ปุ่น และสวนจีน มักจะใช้ตะเกียง สะพานเล็ก ๆ และอ่างน้ำ เป็นต้น
4)    กระถาง หรือ ภาชนะบรรจุต้นไม้ต่าง ๆ เป็นองค์ประกอบที่ช่วยเสริมบริเวณสวนให้ดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ส่วนมากกระถางจะทำมาจากดินเผาเคลือบ ซึ่งการจัดสวนที่ใช้กระถางเป็นองค์ประกอบนั้น จะมีความยืดหยุ่นสูง เพราะสามารถสับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แม้แต่กระถางที่มีต้นไม้บรรจุอยู่ก็สามารถเปลี่ยนไปตามฤดูกาลได้อีกด้วย กระถางที่ดีควรมีรูระบายน้ำด้วย
5) น้ำและไฟในสวน น้ำเป็นสิ่งที่เสริมสร้างความรื่นรมย์แก่ผู้ใช้เป็นอย่างมาก เสียงหรือแสงระยิบระยับของน้ำยามต้องแสงแดด หรือเงาที่สะท้อนตามพื้นน้ำจะช่วยให้สวนมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำ น้ำพุ หรือน้ำตก ถ้าไม่ใหญ่โตเกินไปนัก เจ้าของบ้านสามารถทำขึ้นเองได้ โดยใช้ปั้มขนาดเล็กวางไว้ก้นสระ หรือที่เรียกกันว่า Submersible Water Pump (ได้โว่) ซึ่งจะดูดน้ำเข้าผ่านระบบกรองในตัว จากนั้นน้ำจะถูกปั้มผ่านท่อยางไปยังหัวน้ำพุ หรือไปยังน้ำตกที่เตรียมไว้ หัวน้ำพุนี้สามารถถอดเปลี่ยนเป็นแบบต่าง ๆ ได้ตามความต้องการส่วนน้ำตก ถ้าเจ้าของบ้านมีมุมเล็ก ๆ และต้องการที่จะทำเองน้ำก็ทำได้ไม่ยาก โดยการหาซื้อน้ำตกสำเร็จรูปมาจัดได้เลย ซึ่งมีให้เลือกหลายขนาด หลายชนิด หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์จัดสวนทั่วไปเช่น ตลาดนัดสวนจตุจักร และตลาดย่านพหลฯ หลักการของน้ำตกคือ ใช้ระบบน้ำล้น
        สำหรับการก่อน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ และมีโครงสร้างที่ซับซ้อนมาก ๆ ควรเรียกผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มาช่วยโดยเฉพาะ
        การติดตั้งไฟในสวนนั้น เป็นการยืดเวลาการใช้สวนให้ยาวนานออกไปอีก คือสามารถใช้สวนในตอนกลางคืนได้ และเพื่อความสวยงามของต้นไม้ในสวนด้วย โดยเฉพาะการส่องไฟขึ้นจากโดนของต้นไม้เพื่อเน้นรูปทรงของกิ่งก้านสาขา หรือการส่องไฟจากด้านข้าง ทำให้เกิดมิติใหม่ของสีสัน และรูปทรงของสวน ความสำเร็จของการจัดไฟในสวนนั้น จะต้องจัดแสงอย่างตรงไปตรงมา เน้นสิ่งที่ต้องการจะเน้น ไฟที่ติดในสวนส่วนมากนิยมติดตามบริเวณ กลุ่มหิน สวนหย่อม น้ำตกสระน้ำ และบริเวณโต๊ะเก้าอี้ในสวน
6)    ศาลา (Gazebo) เป็นองค์ประกอบที่น่าสนใจเพราะให้ร่มเงา และผู้ใช้สามารถนั่งพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติได้ ส่วนมากนิยมสร้างด้วยไม้ เพราะให้ความอ่อนนุ่มกับสวนมากกว่าวัสดุอย่างอื่น ควรใช้ไม้แดง หรือไม้เต็งซึ่งเหมาะสำหรับกลางแจ้ง หรืออาจทำด้วยไม้ระแนงแล้วอาศัยไม้เถาเลื้อย ปกคลุมแทนหลังคากระเบื้อง
        ส่วนรูปแบบของศาลานั้นมีให้เลือกมากมายหลายแบบ ตั้งแต่ศาลาคนยากมีเสากลางเสาเดียว หลังคามุงจาก หรือที่เรียกกันว่าดอกเห็ด ซึ่งเหมาะกับสวนบ้านไร่ ส่วนศาลามุงกระเบื้องหรือหลังคาไม้ระแนงที่อาศัยเถาไม้เลื้อยปกคลุมนั้น นิยมใช้กับบ้านทั่ว ๆ ไป และศาลาโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก มุงกระเบื้องซีแพคโมเนียนั้น เหมาะกับบ้านที่มีบริเวณพื้นที่ในการจัดสวนกว้างใหญ่ เพราะโครงสร้างของศาลาแบบนี้จะดูเทอะทะสำหรับบ้านทั่ว ๆ ไปยังคงนิยมศาลาไม้เป็นส่วนมาก เพราะดูเบาและอ่อนนุ่มกว่าคอนกรีตเสริมเหล็ก

รั้ว

    รั้ว การออกแบบหรือตกแต่งบริเวณภายในบ้านนั้น นอกจากรั้วรอบบ้านที่ใช้แสดงขอบเขตของพื้นที่ และป้องกันอันตรายจากภายนอกแล้ว รั้วยังเป็นการแบ่งบริเวณที่กว้างขวางให้เล็กลง หรือเพื่อบังสายตาของคนภายนอก ทำให้เกิดความเป็นส่วนตัว หรือใช้เป็นที่บังแดด บังลม บางครั้งสามารถใช้รั้วเป็นเครื่องประดับสวนให้งดงามอีกด้วย
    การเลือกแบบของรั้วนั้นขึ้นอยู่กับแบบของบ้านและรูปทรงของบริเวณสวน สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
    1)    รั้วไม้ เสาอาจจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือใช้เสาเป็นไม้ได้ ส่วนผนังของรั้วใช้ไม้กั้น อาจจะเป็นไม้ไผ่ ซึ่งเหมาะกับการจัดสวนญี่ปุ่น หรือรั้วไม้ซุงซึ่งเหมาะกับสวนบ้านไร่ ส่วนอายุการใช้งานนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ การซ่อมแซมทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก
    2)    รั้วอิฐบล๊อค โครงสร้างของเสาและคานเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ผนังรั้วใช้อิฐ บล๊อค ซึ่งมีหลายแบบหลายขนาด ทั้งทึบและโปร่ง จะมีอายุการใช้งานได้นาน การซ่อมแซมเพียงทาสีใหม่ เมื่อสีเก่าจางไป
    3)    รั้วเหล็ก หรือรั้วอัลลอยด์ โครงสร้างของเสาคานอาจจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือเสาเหล็กได้ ส่วนผนังนั้นใช้เหล็กกั้น มีความแข็งแรงและทนทานได้ดี จะมีอายุการใช้งานได้นาน แต่ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาด้วย สำหรับบ้านที่อยู่ใกล้ทะเลไม่ควรทำรั้วแบบนี้ เพราะไอน้ำเค็มจากทะเล จะทำให้รั้วเป็นสนิมเร็วขึ้น ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง

วัสดุปูพื้น

    วัสดุปูพื้น วัสดุปูพื้นของสวนในบ้านหมายถึง ส่วนใช้งานที่ต้องการผิวพื้นที่ไม่ใช่สนามหญ้าเพื่อทนการเหยียบย่ำ ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
    3.1    วัสดุปูพื้นแบบแข็ง (Rigid) ใช้ปูในบริเวณพื้นที่ที่มีการใช้งานสูง โดยพื้นส่วนล่างจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กรองรับวัสดุปูพื้นอื่น ๆ เช่น อิฐ กระเบื้อง เซรามิค หิน วัสดุปูพื้นแบบนี้น้ำจะไม่สามารถซึมผ่านลงไปได้ อัตราการไหลของน้ำบนผิวหน้าจะสูง เพราะฉะนั้น ในขณะที่ปูพื้นแบบนี้ จะต้องคำนึงถึงการระบายน้ำเป็นสำคัญ ควรให้มีความลาดเอียงออกจากบ้าน การปูพื้นด้วยวัสดุแบบแข็งนี้เหมาะกับบริเวณลานนั่งเล่น ลานจอดรถทางเดินที่ต้องการความถาวร
    3.2    วัสดุปูพื้นแบบมีความยืดหยุ่น (Flexible) พื้นฐานส่วนลางใช้ทรายหรือปูนทรายบดอัดให้เรียบก่อน วัสดุที่ใช้ปูมีหลายชนิดเช่น บล็อกประดับพื้นรูปคดกริช รวงผึ้ง และอัฐศิลา ของปูนซิเมนต์ไทย อิฐมอญ และหินต่าง ๆ การปูแบบนี้น้ำจากพื้นผิวด้านบนสามารถซึมผ่านลงไปได้บ้าง และอัตราการไหลของน้ำบนผิวหน้าจะไม่สูงเท่ากับวัสดุพื้นแบบแข็ง การปูวัสดุปูพื้นแบบมีความยืดหยุ่นนี้สามารถทำเองได้ทันที การซ่อมแซมก็ทำได้ง่าย แต่ต้องระวังตอนอัดทราย ถ้าอัดไม่ดีจะยุบตัวได้ในภายหลัง การปูพื้นแบบนี้เหมาะกับบริเวณลานนั่งเล่น ลานจอดรถ ทางเดิน ส่วนสนามเด็กเล่นควรใช้ทรายทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย

ต้นไม้

    ต้นไม้ ต้นไม้ที่ใช้ในการตกแต่งสวนนั้นแบ่งออกเป็น  4 ประเภท ดังนี้
    1    ไม้ต้น (Trees) เป็นไม้เนื้อแข็ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นใหญ่กว่าไม้พุ่ม ไม่ต้องอาศัยพาดพิงต้นไม้หรือวัสดุอื่นเพื่อดำรงตัว มีความสูงเกิน 6 เมตร มีอายุได้นานปี เช่น ตะแบก
อินทนิน จามจุรี ราชพฤกษ์ ฯลฯ ซึ่งไม้ต้นเหล่านี้ สามารถใช้เป็นฉากหลัง ให้ร่มเงา หรือเป็นแนวรั้วกันลม ฯลฯ
    2    ไม้พุ่ม (Shrubs) เป็นไม้เนื้อแข็งลำตัวตั้งตรง เป็นอิสระได้ไม่ต้องอาศัยต้นไม้ หรือวัสดุอื่นพาดพิง มีอายุได้นานหลายปี มีความสูงไม่มากนักการแตกกิ่งก้านมักจะไม่สูงจากพื้นดิน เช่น ชบา เข็ม ยี่เข่ง ยี่โถ ฯลฯ มักจะปลูกระดับแปลง จัดเล่นลายโดยใช้สี ปลูกเป็นรั้ว กั้น หรือบังตา และมักจะปลูกตามขอบทาง
    3    พืชคลุมดิน (Ground Covers) คือพืชที่มีต้นเตี้ย สูงไม่เกิน 30 ซม. และมักจะปลูกเป็นกลุ่มก้อนติด ๆ กัน มีทั้งลำต้นตรงและลำต้นเตี้ย มีทั้งเป็นไม้เนื้ออ่อนอายุข้ามปี และเป็นพวกไม้ล้มลุก เช่น ผักเป็ดเขียว บานเช้า บานเย็น บัวสวรรค์ พลูด่าง เป็นต้น ใช้ปลูกประดับขอบแปลง จัดเล่นลายใช้สีหรือปลูกเป็นแปลงคลุมพื้นที่แทนหญ้า
    4    หญ้า (Grass) เป็นพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน มีความสวยงาม และสามารถเหยียบย่ำได้ หญ้าที่ปลูกตามบ้านทั่ว ๆ ไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ

    4.1. หญ้านวลน้อย (Zoysia Matrella) เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อน ชอบแดดจัด ทนการเหยียบย่ำได้ค่อนข้างสูง ปลูกได้ทั่วไป แต่ต้องการดินที่มีความอุดมสมบูรณ์พอควร ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขังแฉะการตัดควรตัดให้สูง 0.5-1 นิ้ว ควรตัดบ่อย ๆ และตัดให้ต่ำ เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตเป็นกระจุก และควรจะใส่ปุ๋ยไนโตรเจน (N) สูงทุกเดือน

    4.2. หญ้ามาเลเซีย (Axonopus Compressus) เป็นหญ้าใบกว้าง ใบสีเขียวอ่อน ทนร่มได้ดี ไม่ควรปลูกกลางแดดเพราะรากสั้นทำให้เหี่ยวแห้งเร็ว ทนน้ำขังแฉะได้ชั่วคราว ทนการเหยียบย่ำได้น้อยกว่าหญ้านวลน้อย เวลาตัดควรตัดให้สูง 1-2 นิ้ว หญ้ามาเลเซียนี้ควรจะปลูกในที่ร่ม และกับบ้านที่เจ้าของบ้านไม่มีเวลาในการดูแลรักษา ควรใส่ปุ๋ยที่มี N-P-K ในอัตราส่วน 3-1-2 ต่อเดือน

การเตรียมพื้นที่

    การเตรียมพื้นที่ คือ การทำให้บริเวณพื้นที่ที่จะจัดสวนให้เรียบโล่ง เหลือไว้แต่สิ่งที่เราจะใช้ประโยชน์ได้ในภายหลัง เช่นต้นไม้ใหญ่ ๆ หิน เนินที่มีอยู่เดิม การปรับพื้นดินทำโดยการรดน้ำจนเปียก แล้วจึงใช้ลูกกลิ้งบดให้เรียบ ถ้าบริเวณใดยุบเป็นบ่อให้เติมดินลงไป ระดับโดยรวมควรลาดเอียงไปยัง ทางท่อระบายน้ำ และลาดเอียงออกจากตัวอาคาร เก็บเศษวัสดุ ก้อนหิน หญ้า และวัชพืช ที่ไม่ต้องการทิ้งให้หมดวาดแปลนที่ต้องการลงบนพื้นที่ โดยใช้ปูนขาวโรยเป็นกำหนดจุดแนวสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เช่น ลานพักผ่อน ทางเท้า ถนนเข้าบ้าน เป็นต้น กำหนดจุดที่จะปลูกต้นไม้ใหญ่ขอบเขตของแปลงที่จะปลูกไม้พุ่มและไม้คลุมดิน
    การปลูกไม้ต้นใหญ่นั้นควรขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่าตุ้มดินที่หุ้มรากต้นไม้ ไว้โดยรอบอีก 10  ซม. และลึกกว่าขนาดตุ้มดินอีก 10-15  ซม. โรยปุ๋ยสูตรเสมอ (16-16-16) รองก้นหลุมดินที่ขุดขึ้นจากหลุมให้แยกดินส่วนบน และส่วนก้นหลุมไว้ จากนั้นก็เอาดินส่วนบนมาสับพรวนจนเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วเอามาคลุกผสมกับดินที่ซื้อมาจากท้องตลาดในอัตราส่วน ดินบน:ดินผสม = 1:1 ใส่กลับลงไปในหลุมเป็นดินปลูก รดน้ำตามให้ชุ่ม ดินจะยุบตัวลง เติมดินปลูกและรดน้ำจนดินไม่ยุบตัวอีก ถ้าต้นไม้ที่ปลูกใหม่นั้นสูงมากหรือไม่สามารถตั้งตัวให้ตรงได้ให้ใช้ไม้ค้ำ ซึ่งอาจจะเป็นไม้ไผ่หรือไม้สนก็ได้ ส่วนการเตรียมพื้นที่ที่จะปลูกไม้พุ่ม และไม้คลุมดินนั้น ก็คล้ายคลึงกันกับการปลูกไม้ต้นใหญ่ แต่ขนาดหลุมจะตื้นกว่า

วัสดุอุปกรณ์ในการตกแต่งสวนที่จำเป็น

    การจัดสวนนั้นมิใช่ว่าเอาต้นไม้มาปลูก เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นแถวเป็นแนว ให้เกิดความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องคำนึงถึงวัสดุอุปกรณ์ ในการตกแต่งสวนด้วย ว่าจะเอาวัสดุอุปกรณ์ประเภทไหนอย่างไร มาตกแต่งสวนให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น และจะทำอย่างไรให้คงความงามไว้ได้นาน โดยเริ่มจาก การจัดเตรียมพื้นที่การเลือกไม้ดอกไม้ใบ การใช้วัสดุปูพื้น การกั้นรั้ว การเลือกเฟอร์นิเจอร์ และการดูแลรักษา ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการจัดแต่งสวน

การออกแบบจัดสวน

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ การออกแบบจัดสวน
การออกแบบสวน คือการจะทำให้สวนมีความสวยงาม เราจะต้องมีความรู้พื้นฐานค่อนข้างจะสูงมาก ในเรื่องของการออกแบบ นอกจากนี้ สวนสวย ไม่ใช่ว่า สวนจะอยู่ได้นาน จะต้องดูว่าสวนสวย จะต้องมีการดูแลรักษาที่ดี เพื่อให้เขามีชีวิต ที่อยู่ได้ยาวนาน ด้วย หลักการออกแบบ จึงมีความ จำเป็น ต่อการจัดสวนมาก เพราะถือว่าการออกแบบ การเขียนแบบ เป็นจุดเริ่มต้น ของงาน การออกแบบ ที่ดีต้องอาศัยความรู้อยู่ 2 อย่างด้วยกัน

1. องค์ประกอบของศิลป์ เป็นศิลปะที่เกิดจาก การผสมผสานของจิตใจ สอดคล้องกับวิถีชีวิต และเพื่ออำนวยประโยชน์สูง ทางด้าน ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ องค์ประกอบของศิลป์ ที่สำคัญได้แก่ สี ต้องมีความเข้าใจเรื่องของสี เรื่องของเส้น เรื่องของพื้นผิว เรื่องของรูปทรง เรื่องของรูปร่าง เรื่องของช่องว่าง และก็ลวดลาย ซึ่งถือว่าเป็น องค์ประกอบของศิลปะ ผู้ออกแบบจะต้องทำ ความเข้าใจ

2.. หลักในการออกแบบ จะเน้นที่ความสมดุล จะเป็นสมดุลที่แท้จริง สมดุลแบบเชิงล้อเลียนธรรมชาติ อะไรก็แล้วแต่ ช่วงจังหวะทั่ว ๆ ไปที่เราเรียกว่า ลิทึม สำหรับมาตราส่วน ที่เหมาะสมกับพื้นที่ ความเป็นเอกภาพจัดไปแล้ว มีความเป็นหนึ่งเดียว ไม่หลากหลาย หรือสับสนมากเกินไป ความกลมกลืนของกลุ่มวัสดุที่ใช้ เช่น กลุ่มของหิน กลุ่มของพืชพันธุ์ ในระหว่างการสร้างจุดเด่น รวมถึง ความขัดแย้งถ้าเผื่อจำเป็น จะต้องมีอันนี้เป็น หลักของการออกแบบที่ดี ผู้ออกแบบที่ดี จะต้องศึกษา ข้อมูลเหล่านี้ให้ชัดเจนและเข้าใจ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางประเด็น ที่อยากจะให้ข้อเสนอแนะว่า ในการออกแบบเราก็มีข้อคิดหลาย ๆ ข้อคิดที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น กรณีของการใช้สีในการจัดสวน ถ้าหากเป็น ชาวตะวันออก จะนิยมใช้กลุ่มสีที่เป็นสีเย็นหรือสีพื้น หรือใส่เสื้อผ้าสีพื้นมากกว่า ฉูดฉาด เพราะฉะนั้นลักษณะพืชพันธุ์ สิ่งของที่นำมาใช้ วัสดุมักจะเป็นสีพื้น ๆ และดูได้นาน มีความกลมกลืนค่อนข้างยาวนาน แต่ถ้าเป็น การจัดสวน แบบชาวยุโรปตะวันตก เนื่องจากสภาพอากาศค่อนข้าง จะแปรปรวนง่าย สีที่ใช้ส่วนใหญ่ของพืชพันธุ์วัสดุ มักจะเป็น สีซ้อนและสีค่อนข้าง จะฉูดฉาด เน้นค่าของสีต่อพื้นที่ พื้นผิวที่ต่างกัน จะมีแปลงไม้ดอกสดใสมากมายในแถบยุโรปซึ่งแตกต่างกัน ในเรื่องการใช้สี นอกจากนี้จะพิจารณาถึง ฉากหลัง หรือ ผนังของอาคาร ต่าง ๆ อย่างเช่น กรณีของผนัง ถ้าเป็น ผนังของอาคาร ที่เป็นสีสว่าง ๆ ก็จะเลือกใช้วัสดุที่มีสีเข้ม เพื่อให้มองดูสวยขึ้น และในทำนองเดียวกัน ถ้าหาก ผนังอาคาร สีเข้มอยู่แล้ว อาจจะใช้วัสดุ พืชพันธุ์ สีสว่าง เพื่อมองดูเด่นชัด อาจจะมีความขัดแย้งกันอยู่บ้าง กรณีพื้นผิวต่อ งานออกแบบ อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้ากรณีพื้นผิวหยาบ พืชพันธุ์ ที่นำมาใช้ก็ควร จะใช้ที่มีพื้นผิวละเอียดจะมองดู เป็นความขัดแย้งแต่ ถ้าหากเราต้องการให้มี ความกลมกลืนอาจจะ ใช้พื้นผิวที่หยาบ เช่น พันธุ์ไม้ที่มีใบใหญ่ใบหนา ถ้าหากว่าพื้นผิวหยาบ จะไว้ส่วนหลัง ส่วนหน้าก็จะเป็นพื้นผิวค่อนข้างจะปานกลาง หน้าสุดก็จะเป็นละเอียด ถ้าเป็นสนามหญ้าเปิดกว้าง ๆ จะใช้หญ้านวลน้อย ถ้าหากใต้ร่มไม้ ที่มีแสงไม่มากนัก จะใช้หญ้ามาเลเซีย หรือพื้นที่ขนาดเล็ก อาจจะใช้หญ้าที่ละเอียด เช่น หญ้าญี่ปุ่น การจัดสวน เพื่อให้เกิด ความสวยงาม บางทีสวนที่จัดซับซ้อนเกินไป ไม่ได้บ่งชี้ความสวยงาม ระยะยาว แต่สวนที่จัดให้เกิดความสวยงาม กลับกลายเป็นจัดสวนที่ง่าย มีสนามหญ้าเปิดกว้าง ดูแลรักษาง่าย ยาวนาน และเสริมสิ่งก่อสร้างหลักให้สวยงามมากขึ้น การจัดสวน อย่าให้เป็นเหมือน การจัดเรือนต้นไม้ หรือ ร้านขายต้นไม้ เป็นหลักการ ที่ค่อนข้างจะสำคัญ

การตกแต่งบ้านให้น่าอยู่

    การตกแต่งบ้าน ให้น่าอยู่ มีปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน ซึ่งแบ่งได้ดังต่อไปนี้...
1. ความปลอดภัย ในการจัดตกแต่งบ้านควรคำนึงถึงความปลอดภัยของสมาชิกในบ้าน โดยการเลือกเครื่องตกแต่งบ้านที่ไม่มีมุมแหลม ไม่แตกหักง่าย ไม่เกะกะทางเดิน และควรป้องกันอันตรายที่เกิดจากความอยากรู้อยากเห็น เช่น จักว่างตู้ยาไว้ในที่สูง และจัดเก็บสารเคมี ยาฆ่าแมลงในบ้านให้พ้นมือเด็ก รวมทั้งไม่จัดของขวางทางเดิน ไม่ขัดพื้นจนเป็นเงามัน เพราะว่าจะลื่นหกล้มหรือตกบันไดได้ นอกจากนี้ การติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าตลอดการเดินสายไฟฟ้า จะต้องอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย
2. ถูกสุขลักษณะและสะอาด ในการจัดบ้านจะต้องจัดให้อากาศถ่ายเทสะดวกไม่ควรจักว่างสิ่งของปิดบังทิศทาง ลม และจัดให้มีแสงสว่างเพียงพอ ไม่มืดทึบ รวมรวมทั้งควรทำความสะอาดเครื่องตกแต่งบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อสุขอนามัยของคนในบ้าน
3. สะดวกในการใช้สร้อย ในการจัดตกแต่งบ้านควรคำนึงถึงความสะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆ
โดยการจัดทางเดินต่างๆ ชองบ้านให้สัมพันธ์กันสามารถเดินไปมาได้สะดวกจัดหาเครื่องที่มีขนาดและจำนวน
เหมาะสมสมกับเนื้อที่ เลือกเครื่องที่สะดวกในการใช้สร้อยและทำความสะอาดได้ง่าย เช่น เครื่องเรือนที่มีล้อ
สามารถเคลื่อนยัายไดัและจัดอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ให้สะดวกต่อการหยิบใช้ เช่น ไม่ว่างเครื่องมือเครื่อง
ใช้ที่ใช้บ่อยๆ ในที่สูงเกินมือเอื้อมถึง และจัดอุปกรณ์ให้เป็นหมวดหมู่ เป็นต้น
4. ความสบาย การจัดตกแต่งบ้านให้ให้มีเครื่องช่วยป้องกันความจ้าของแสงแดด เช่น ม่าน มู่ลี่ มีช่องระบายความร้อน และให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก สามารถมองเห็นทิวทัศน์ในบ้านหรือนอกบ้านที่ทำให้เกิดความเพลินได้ เป็นต้น
5..ความมีระเบียบและความสวยงาม ในการจัดตกแต่งเครื่องเรือนควรมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งของที่จัดว่างมากเกินไป และสิ่งของที่จัดว่างไม่เป็นระเบียบจะทำให้ความสวยงามลดลงนอกจากนี้นอกจาก
การตกแต่งบ้าน ควรนำเรื่องการใช้สีซึ่งเป็นหลักการศิลปะมาใช้จะทำให้บ้านสวยงามน่าอยู่ยิ่งชึ้นควรนำไม้
ดอกไม้ประดับมาใช้ตกแต่งบ้าน เพื่อเพิ่มความสวยงาม เช่น ใส่แจกันดอกไม้สด ไม้ประดับแบบแชวน เป็นต้น
6.ความประหยัด การจัดตกแต่งบ้านควรคำนึงถึงความประหยัดทั้งเวลา แรงงานและเงินโดยพิจารณาเรื่องดูแลรักษา ทำความสะอาด ราคาสิ่งของที่นำมาตกแต่งบ้าน การใช้เครื่องทุ่นแรงจะทำให้ช่วยประหยัดเวลาและแรง แต่ก่อนการซื้อควรพิจารณาราคากับความคุ้มค่าของการใช้สร้อย นอกจากสิ่งนั้นสิ่งของเครื่องใช ้บางอย่าง
ที่ใช้ในการตกแต่งบ้าน หากเราสามารถประดิษฐ์เองได้ ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัวลงได้

การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน

     ในการออกแบบบ้านประหยัดพลังงานนั้น สิ่งที่สำคัญ ก็คือการเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ตามความเหมาะสม และคุณสมบัติของวัสดุนั้นๆ อาจจะต้องทำการค้นหาข้อมูลหรือสอบถามจากผู้ผลิตต่างๆ ถึงการรับรองคุณภาพตามหลักวิทยาศาตร์ เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ได้เลือกใช้วัสดุที่สร้างความเสียหาย หรือทำลายโลกของเราได้ จากนั้นเราค่อยนำมาผนวกเข้ากับการออกแบบบ้าน ตามความฝันของเราต่อไป ( แล้วฉันจะรู้ได้ไงล่ะ วัสดุมันก็มีให้เลือกใช้มากมายก่ายกอง คงมีคนถามอยู่ในใจ ) หลักในการเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกับการออกแบบบ้านนั้น ผมจะขอติดค้างไว้ก่อนแล้วจะบอกเล่าให้ฟังคราวหน้าครับ แต่คราวนี้เราจะมาพูดกันถึงเทคนิคในการออกแบบบ้าน เพื่อให้ได้บ้านประหยัดพลังงานที่ดีที่สุดนั้น อยากแนะนำให้คำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ครับ

    * การปรับสภาพแวดล้อมโดยรอบให้เหมาะสมกับการประหยัดพลังงาน ก็คงเป็นเรื่องของการจัดสวน การจัดวางต้นไม้ เรื่องของทิศทางลม หน้าบ้าน หลังบ้าน……
    * การเลือกรูปแบบให้เหมาะสมกับสมาชิกภายในบ้านครับ เป็นการปรับเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของทุกๆคนได้ พร้อมๆกันเราก็ต้องสามารถประหยัดพลังงาน และ รักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย
    * การเลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และเหมาะสม
    * การเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสม
    * การดูแลรักษาในอนาคต
    * เทคนิดในการก่อสร้าง

การออกแบบบ้าน

    เพื่อที่จะให้ผู้ที่อยู่อาศัยมีความสุขกับการได้อยู่บ้าน การออกแบบบ้านก็เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่ควรพิจารณาในการสร้างบ้าน ก็มีอยู่หลายประการ ดังนี้
   1. การจัดพื้นที่เป็นสัดส่วน การจัดพื้นที่ภายในบ้านให้เป็นสัดส่วนสามารถลดปัญหาขัดแย้งภายในบ้านได้เช่น การฟังเพลง การดูโทรทัศน์ การทำการบ้าน การนอน การทานอาหาร การทำครัว การสังสรรค์ หรือประหยัดพลังงานเมื่อใช้เครื่องปรับอากาศ หรือป้องกันเสียง และกลิ่นรบกวน หรือป้องกันยุง
   2. แสงธรรมชาติ การจัดให้ทุกพื้นที่ ได้รับแสงธรรมชาติ ช่วยสร้างให้เกิดบรรยากาศที่น่า แสงธรรมชาติควรจะมาจาก ส่วนบนของห้อง จะทำให้การกระจายแสงดี และแสงไม่จ้า ดังนั้น สีของเพดานจึงควรจะเป็นสีออกสว่าง ส่วนสีผนัง หากใช้สีสว่างเกินไปจะจ้า จึงควรคล้ำลงบ้าง
   3. การระบายอากาศ ห้องที่ควรจะใช้หลักการระบายอากาศตามธรรมชาติ ได้แก่ ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องทานอาหาร ห้องพักผ่อน เป็นต้น
   4. การปรับอากาศ ห้องนอนซึ่งเป็นห้องที่คนใช้เวลาอยู่มากที่สุด ใช้เครื่องปรับอากาศกันเป็นส่วนใหญ่ ห้องนอนจึงต้องออกแบบให้มีสภาพของห้องเย็น คือมีฉนวนป้องกันความร้อนอย่างดี จึงจะใช้เครื่องปรับอากาศเล็กนิดเดียว แล้วจะได้ไม่เปลืองไฟ ตำแหน่งของเครื่องระบายความร้อน ต้องไม่รบกวน และไม่นำความร้อนกลับเข้ามา ส่วนของเครื่องเป่าลมเย็น จะต้องไม่เป่าโดนตัวให้การกระจายลมดี และทำความสะอาดได้ง่าย
   5. การป้องกันเสียง เสียงรบกวนมักจะมาจาก เสียงรบกวนจากข้างบ้าน จากถนน กิจกรรมในบ้าน เครื่องระบายความร้อน ห้องน้ำ ดังนั้น จึงควรป้องกันเสียงจากที่ต่างๆนี้ เช่น การใช้หน้าต่าง ที่ไม่เปิดรับเสียงรบกวนจากภายนอกโดยตรง, การจัดแบ่งพื้นที่การใช้งานให้เป็นสัดส่วน, การกั้นผนังห้องน้ำยันพื้นเพดาน และใช้ประตูทึบ, การกั้นผนังห้อง การตั้งเครื่องระบายความร้อน ไม่ให้เสียงรบกวนบ้านของตัวเอง และบ้านของคนอื่น